วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

นางนพมาศ : นางเอกที่ถูกมองข้าม (สรุป)

การใช้ความเปรียบแตกต่างจากขนบวรรณกรรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์
                ความเปรียบที่ปรากฏในเรื่องนางนพมาศที่นับว่ามีลักษณะเด่น คือความเปรียบแบบ อุปมา ซึ่งมีความน่าสนใจอยู่ที่คำแสดงลักษณะหรือคุณศัพท์ของสิ่งที่เอาไปเปรียบ (อุปไมย) และคำนามที่ผู้แต่งเลือกเอามาเปรียบ (อุปมา) ซึ่งมักจะได้แก่ สัตว์ชั้นต่ำ หรือ สิ่งของบางอย่างที่ไม่น่าจะเปรียบกันได้ตามขนบ เช่นในข้อความว่า บางคนงามคมงามขำงามชาติงามตระกูลแต่ประพฤติเหมือนรากดิน ตนก็อาศัยแผ่นดิน มันก็ต้องเลื้อยไปเลื้อยมาอยู่ในแผ่นดินนั้นเอง
ความเปรียบอุปมานี้ ใช้คำคุณศัพท์ที่แสดงความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วยคำว่างามคมงามขำงามชาติงามตระกูลกับคำว่า เลื้อยไปเลื้อยมานับเป็นวิธีการบริภาษที่รุนแรงและแหลมคม  รวมทั้งมีความงามทางภาษาในการเล่นคำและซ้ำคำว่า รากดิน และ แผ่นดิน หรือการเปรียบกับปูลม  ในข้อความว่า เพลาเฝ้ารับราชกิจ พอเป็นกิริยาบุญบ้างเล็กน้อยไม่นั่งนานตะหลิบแล่นเร็วเหมือนปูลมชมกันว่าดีความเปรียบนี้ นำเอาปูลมที่เป็นสัตว์ชั้นต่ำมาเป็นอุปมา ซึ่งให้จินตภาพที่ประกอบคำว่า ตะหลิบแล่นเร็ว ได้อย่างชัดเจนและแฝงด้วยน้ำเสียงประชดประชันเสียดสีเช่นเดียวกับที่เปรียบกิริยา ริแรแชเชือน ว่าเป็น เช่นตั๊กแตนแล่นไปแล่นมา และเปรียบลักษณะการทำงานของนางสนมบางคนที่ทำบ้างไม่ทำบ้าง เป็นหมู่วับ ๆ แวม ๆ เหมือนแมลงหิ่งห้อย
นอกจากจะใช้ความเปรียบกิริยาที่ไม่งามกับสัตว์ชั้นต่ำแล้ว ยังเปรียบกับสิ่งแปลก ๆ อีกด้วยเช่น ประพฤติตนเหมือนด้วยปอมข่างไว้จริตกิริยาสูงส่ง ทำจิตใจเงื่อยโคลงประดุจขอนไม้ ที่เล็กนั้นประมาณเท่าผลสะบ้าวานร และหมู่นกอันธพาลสันดานสิ้นคิด แต่ละตัวมีลูกตาเหมือนด้วยนกฮูกนกเค้า และเหมือนด้วยนัยน์ตาหุ่นยนตร์คนเขาชักไขว่ขวัก
ความเปรียบที่ต่างจากขนบวรรณกรรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์ทั่วไปเหล่านี้ มักปรากฏในตอนที่ประชดประชันเสียดสีนางสนมที่มีกิริยาและความประพฤติไม่งาม ความเปรียบจึงเป็นเครื่องมือโดยตรงของการเสียดสีและบริภาษ ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของผู้แต่งจึงได้ให้ผู้เล่าเรื่องคัดสรรสิ่งที่จะมาเปรียบให้ไม่ซ้ำกับวรรณกรรมเรื่องอื่น ตัวอย่างเด่นที่แสดงถึงความช่างคิดและการเลือกสรรถ้อยคำมาบริภาษตอนหนึ่ง คือ ตอนที่กล่าวถึงนางนกไส้ว่าชอบกิน ดอกเต่าร้าง ยางบัวใบยาว และเกสรดอกสามหาว ทำให้นางมีนิสัย คันปากอยากพูดพล่อยอยู่เป็นนิจ หรือกล่าวเสียดสีนางนกบางตัวว่ามีความประพฤติ ทำร่างกายจริตกิริยาเหมือนด้วยนกตัวผู้และมีเหนียงแห้ง อุปมานี้ทำให้เกิดจินตภาพได้อย่างชัดเจนทีเดียว

สรุป : นวัตกรรมทางวรรณคดีใน ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
จากที่ได้วิเคราะห์มาทั้งหมด คงเห็นได้ว่า ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นวรรณกรรมที่มีลักษณะแปลกใหม่ที่น่าสนใจหลายประการเมื่อเปรียบเทียบกับวรรณกรรมเรื่องอื่น ๆ ในยุคสมัยเดียวกัน ที่เห็นชัดที่สุดคือลักษณะของตัวบทที่เรียกได้ว่าเป็น เอกสารพันทาง คือ ประกอบด้วยส่วนที่เป็นตำราให้ความรู้เกี่ยวกับชาติพันธุ์และภาษา รวมทั้งความรู้เรื่องพระราชพิธีต่าง ๆ มีส่วนที่เป็นนิยายหรือเรื่องสมมุติ ซึ่งเป็นประวัติและความสามารถของนางนพมาศ และส่วนที่เป็นการวิจารณ์นางสนม ทั้งหมดนี้มีส่วนที่เป็นนิยายทำหน้าที่ควบคุมเนื้อหาให้ร้อยรัดเป็นเรื่องเดียวกันด้วยการสร้างตัวละครและฉาก แต่การนำเสนอด้วยร้อยแก้วก็มีผลกลบเกลื่อนลักษณะนิยายไว้มิให้ปรากฏชัด เพราะตามขนบวรรณคดีสมัยนั้นนิยายจะนำเสนอด้วยร้อยกรอง ส่วนร้อยแก้วใช้กับข้อเขียนที่ถือเป็นเรื่องจริงจัง
อย่างไรก็ตาม ยังมีลักษณะล้อเลียนแทรกอยู่ในตัวบทที่แลดูจริงจัง ซึ่งมีผลทำให้ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ต่างไปจากวรรณกรรมประเภทล้อเลียนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยเดียวกัน ซึ่งมักจะมีลักษณะล้อเลียนตลอดทั้งเรื่อง และประกาศอย่างโจ่งแจ้งตั้งแต่ต้นว่าเป็นวรรณกรรมล้อเลียน  นอกจากนี้ ในตัวบทยังประกอบด้วยส่วนที่เป็นนิทาน ใช้วิธีการเล่าตามขนบของการเล่าเรื่องซ้อนเรื่อง นิทานเหล่านี้ทำหน้าที่บอกล่วงหน้าโดยนัย ถึงส่วนที่เป็นการวิจารณ์นางสนมซึ่งปรากฏในตอนท้ายของเรื่องและเป็นการแสดงเชาวน์ปัญญาของตัวละครเอกที่ยกนิทานเป็นอุทาหรณ์ในการสั่งสอนและอวดภูมิรู้
หนังสือเรื่อง ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ นี้ได้สร้างตัวละครเอกหญิงที่นับว่าโดดเด่นกว่าตัวละครหญิงอื่นใดในวรรณคดีต้นรัตนโกสินทร์ นางนพมาศเป็นตัวละครที่สมบูรณ์แบบตามอุดมคตินิยม แต่มีการดำเนินชีวิตที่สมจริงนางได้ใช้ความรู้และปัญญารวมทั้งความสามารถในการประดิษฐ์  จนได้รับการยกย่องต่อสาธารณชนและได้รับการจารึกสืบต่อมาให้เป็นประเพณีปฏิบัติของชนรุ่นหลัง นางยังเป็นนางเอกที่มีบทบาทเป็นผู้กระทำด้วยการตั้งปณิธานและผลักดันตนเองให้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จเท่าที่หญิงสามัญชนจะได้รับอย่างปราศจากอุปสรรคใด ๆ ในชีวิต 
ในส่วนของกลวิธีการเล่าเรื่องนั้น หนังสือเรื่องนี้มีวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ คือ เริ่มเล่าจากเรื่องในอดีตที่ไกลโพ้น ขอบเขตของเรื่องเล่ากว้างใหญ่ไพศาล ทำให้มีลักษณะคล้ายเอกสารโบราณ  ที่มักเริ่มต้นเล่าเรื่องตั้งแต่การกำเนิดโลก ประกอบกับมีการอ้างถึงจุลศักราชที่นิยมใช้ในเอกสารสมัยอยุธยา จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีการอำพรางทั้งยุคสมัยในท้องเรื่องและยุคสมัยที่แต่งได้อย่างแยบยล  สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของการเล่าเรื่อง ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ คือ การใช้คำสรรพนามบุรุษที่หนึ่งของตัวละครเอกหญิง การเรียกตนเองว่าข้าน้อย นั้น นับว่าแปลกและแตกต่างจากตัวละครตัวอื่น ตรงที่คำนี้แฝงน้ำเสียงของการอ่อนน้อมถ่อมตัวในขณะที่เล่าเรื่องราวคุณความดีของตนเอง เพื่อให้สตรียึดถือเป็นต้นแบบความประพฤติของกุลสตรีที่ดีพร้อม 
การใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งเล่าเรื่องของตนเองนี้ ปัจจุบันเรียกว่าการเขียนอัตชีวประวัติ และด้วยเหตุที่นางนพมาศมีฐานะเป็นตัวละครสมมุติ ทำให้หนังสือเรื่องนี้มีลักษณะการประพันธ์แบบอัตชีวประวัติสมมุติ (fictional autobiography) เรื่องแรกของไทย อัตชีวประวัติสมมุติ คือ งานประพันธ์ประเภทนิยายที่กำหนดให้ตัวละครเอกนำเอาประวัติชีวิตของตนเองมาเล่า ตัวละครนั้นจึงทำหน้าที่เป็นผู้เล่าเรื่องไปด้วย การใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของงานประพันธ์ประเภทนี้ และเป็นกลวิธีที่โน้มน้าวใจให้ผู้อ่านรู้สึกเสมือนว่าเรื่องเล่าเป็นเรื่องจริงได้โดยง่าย การประพันธ์ในรูปแบบนี้นับว่าเป็นงานเขียนในลักษณะที่ใหม่มาก เมื่อเทียบกับขนบทางวรรณกรรมในยุคสมัยเดียวกัน ในกรณี ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ กลวิธีนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวละครเอกหญิง (รวมทั้งฉากแห่งอดีตและรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ) มีความเหมือนจริงเหมือนจังน่าเชื่อถือ ทำให้นางนพมาศตรึงอยู่ในความเชื่อของ คนไทยว่ามีตัวจริงในสมัยสุโขทัยและมีผลทำให้จัดหนังสือเรื่องนี้เป็นวรรณคดีสมัยสุโขทัยในประวัติวรรณคดีไทยมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว
การใช้กรอบรูปแบบอัตชีวประวัติสมมุตินี้ แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเชิงมนุษยทัศน์ ที่มีต่อตัวบทวรรณกรรมว่าเป็นเครื่องมือในการจารึกชื่อเสียงเกียรติคุณของปัจเจกบุคคลไว้ได้ชั่วกัลปาวสาน ในตัวบท ตัวละครนางนพมาศเคยกล่าวเมื่อเล่านิทานเรื่องที่จบลงว่า แลนิทานนกกระต้อยตีวิดซึ่งข้าน้อยบรรยายนี้ ไม่ควรถือเช่นเอาเป็นอย่าง ถ้ามนุษยชาติหญิงชายจำพวกใด ประพฤติน้ำจิตเป็นพาลสันดานโลเลแล่นไปแล่นมาเช่นนางนกกระต้อยตีวิดตัวนั้นแล้ว ชี่อชั่วก็จะปรากฏเป็นนิยายอยู่สิ้นกัลปาวสาน” (๕๖)
ในทำนองเดียวกันนี้เอง อาจกล่าวได้ว่าผู้แต่งก็ได้สร้างตัวละครเอกหญิงให้เป็นแบบอย่างดีเลิศเพื่อให้ปรากฏเป็น นิยายอยู่สิ้นกัลปาวสานเช่นกัน นับว่าผู้แต่งได้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการจารึกชื่อนางเอกของนิยายเรื่องหนึ่งไว้ให้เป็นหญิงอัจฉริยะผู้คิดประดิษฐ์กระทงในความเชื่อของมหาชนตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

นางนพมาศ : นางเอกที่ถูกมองข้าม(4)

นางนพมาศ : ตัวละครที่เน้นเรื่อง การศึกษาและปัญญา
นางนพมาศเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นโดยให้ความสำคัญแก่เรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก ผู้แต่งได้ให้รายละเอียดว่า นางมิได้ถูกเลี้ยงอย่างเด็กธรรมดาทั่วไป การเล่นสมัยเด็กคือ สอนให้เล่นแต่ร้อยกรอง วาดเขียน และชวนพูดเป็นกลบทกลกลอนเจือด้วยคำสุภาษิตทุกวันคืน”(๓๔) เมื่อเจริญวัยก็เรียนหนังสือตามเกณฑ์อายุ คือ ๗ ขวบเช่นเดียวกับเด็กชนชั้นนำที่เริ่มเรียนอักขรวิธีภาษาไทยตั้งแต่อายุ ๗ ขวบจนถึง ๑๑ ขวบ ปรากฏหลักฐานว่า บุตรขุนนางที่เกิดในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวคนหนึ่ง คือ พระยาสโมสรสรรพการ ได้เขียนเล่าประวัติการศึกษาไว้ว่า เมื่อเป็นเด็กได้เข้าไปเรียนหนังสือกับป้าในพระบรมมหาราชวังเมื่ออายุ ๘ ปีเศษ โตเกินกว่าที่จะเข้าไปอาศัยในพระราชวังฝ่ายใน จึงออกมาเรียนต่อที่บ้านกับบิดา๒๐
                นางนพมาศนับว่าเป็นตัวละครหญิงที่เริ่มการศึกษาตามรูปแบบพร้อมกับบุตรหลานของชนชั้นนำในเวลานั้น แต่เนื้อหาของที่นางได้ศึกษาขณะที่มีอายุ ๗ ขวบ ไม่ใช่ ปฐม ก กาหัดอ่าน เหมือนเด็กทั่วไป นางได้ศึกษาอักษรสยามพากย์ อักษรสันสกฤต ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เป็นวิชาที่ยากเกินกว่าเด็กอายุ ๗ ขวบจะเรียนได้ แต่นางก็เรียนได้อย่างชำนิชำนาญ
                วิชาความรู้ที่นางได้ศึกษานั้น อาจแจกแจงออกเป็นวิชาที่เกี่ยวกับอักษรสยามพากย์ อักษรสันสกฤต ซึ่งจัดเป็นความรู้ขั้นพื้นฐาน วิชาขั้นที่สูงขึ้นคือ การแต่งกลบทกลกลอน เรียนพระพุทธวจนะ  หลังจากนั้นก็เรียนขั้นสูงสุด คือ คัมภีร์ไตรเพท และตำรับโหราศาสตร์ นางจึงเป็นกุลธิดาที่ได้รับความรู้อย่างดีทั้งทางศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์
                อาจกล่าวได้ว่า วิชาความรู้ที่นางนพมาศได้รับนั้นน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของความรู้ที่พระราชกุมารได้เล่าเรียนกันในเวลานั้น ดังที่ปรากฏในหลักฐานการศึกษาเล่าเรียนของ วชิรญาณภิกษุ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระองค์ได้ทรงศึกษาวิชาต่าง ๆ ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชโอรสของพระมหากษัตริย์ ทรงได้รับการศึกษาอักขรวิธีในสำนักพระพุทธโฆษาจารย์ (บุน) วัดโมฬีโลกยาราม ทรงศึกษาพระพุทธวจนะและ คดีโลกคดีธรรมในสำนักกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ตลอดจนวิชาเฉพาะทั้งมวลสำหรับพระราชกุมาร เช่น ทรงศึกษาวิชากรรมศาสตร์ อัศวศาสตร์ และยุทธพิชัยสงคราม จากสำนักเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด) เมื่อเสด็จออกผนวชใน พ.. ๒๓๖๗ ก็ได้ทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ ปรัชญา ประวัติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ๒๑ 
ในวรรณกรรมร่วมสมัยเรื่องหนึ่งคือ เพลงยาวถวายโอวาทของสุนทรภู่๒๒ ได้กล่าวถึงวิชาความรู้ที่สุนทรภู่สั่งสอนลูกศิษย์สองพระองค์ คือ เจ้าฟ้ากลางกับเจ้าฟ้าปิ๋ว ให้หมั่นเรียนรู้วิชา ดังนี้

อุตส่าห์เรียนเขียนอ่านบุราณราช          ไสยศาสตร์สงครามตามประสงค์
ลำดับศักดิ์จักรพรรดิขัตติย์วงศ์                               อุตส่าห์ทรงจดจำให้ชำนาญ
ด้วยพระองค์ทรงสยมบรมนาถ                             บังคับราชการสิ้นทุกถิ่นฐาน
กรมศักดิ์หลักชัยพระอัยการ                                  มนเทียรบาลพระบัญญัติตัดสำนวน

                เมื่อพิจารณาการศึกษาของ วชิรญาณภิกษุและเจ้าฟ้าสองพระองค์นี้ จะเห็นว่ามีวิชาเฉพาะสำหรับพระราชกุมาร คือ วิชาการสงคราม และกฏหลักอัยการ ซึ่งวิชาเหล่านี้นางนพมาศไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน แต่นางก็ได้เรียนบางวิชาที่จัดว่าเป็นของ พ่อเรือนดังที่นางได้แจกแจงไว้ตอนต้นเรื่องว่า

...หมู่มนุษย์ก็ประกอบไปด้วยสติปัญญาโดยมาก ต่างร่ำเรียนสรรพวิชาต่าง ๆ ฝ่ายทหารก็เรียนรู้ศิลปศาสตร์เพลงอาวุธ คือ วิชาช้างม้า กระบี่กระบอง โล่ดั้ง ดาบสั้น ดาบยาว กริช กั้นหยั่น โตมรศรกำซาบปืนไฟใหญ่น้อย มวยปล้ำ ตำรับพิชัยยุทธ์ เวทมนตร์ คงกระพันชำนิชำนาญเป็นอันดี บรรดาพวกพ่อเรือนก็ต่างเล่าเรียนคัมภีร์ไตรเพทไตรวิชา คือ กลบทกลกลอน ทำนุกทำเนียบอักขระ อักษร ครุลหุสูตรกรณฑ์ สูตรฉวางค์ ตำรับโหราศาสตร์ทักษาพยากรณ์ สมผุสอินทพาษบาทจันทร์สารำ อาจรู้จักรราศีดาราฤกษ์นพเคราะห์ สุริยคราสจันทรคราสโดยพิสดาร... (๑๓)

            หากเราจะเปรียบเทียบการศึกษาของนางนพมาศกับเจ้านายพระองค์หญิง ก็อาจจะพิจารณาจากที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายถึงการทรงอักขรวิธีของพระองค์เจ้าหญิงว่า หัดเขียนหนังสือแลัวเรียนอักษรศาสตร์ถึงชั้นแต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอน... ถ้าเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยชอบเรียนเลขหรือความรู้เรื่องพงศาวดารก็เริ่มเรียนในตอนนี้ เจ้านายชั้นพระธิดาทรงศึกษาประเภทนี้เป็นพื้น จึงมักเป็นพระอาจารินีฝึกสอนคนชั้นหลัง ๆ ต่อ ๆ กันมา๒๓
                เจ้านายพระองค์หญิงไม่อาจจะเรียนคัมภีร์ไตรเพทได้ เนื่องจากเป็นวิชาของพ่อเรือน อีกทั้งใช้ผู้สืบทอดตระกูลพราหมณ์ ดังนั้นด้วยเหตุที่เป็นลูกพราหมณ์ ทำให้นางนพมาศได้เรียนรู้สืบทอดตามสายตระกูลด้วย การศึกษาที่นางนพมาศได้รับนั้น จึงนับว่าแตกต่างจากเด็กหญิงทั่ว ๆ ไปไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงในราชตระกูลหรือเด็กหญิงสามัญชน๒๔
                อาจกล่าวได้ว่านางนพมาศเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นให้เป็นผู้นำในเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน ประกอบกับนางถูกจัดวางให้เป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ จึงใช้เวลาเรียนเพียง ๘ ปีก็สำเร็จ ปัญญาของนางนพมาศจัดว่าเป็นความฉลาดที่เกิดจากการศึกษาเล่าเรียน และการคิดจะนำความรู้ที่มีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ความฉลาดของนางอาจมาจากการสั่งสมกองการกุศลมาแต่อดีตชาติซึ่งอาจเรียกว่าเป็นพรสวรรค์ทำให้นางเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์ทุกประการ ทั้งวิชาการช่าง ความคิดอ่าน การแต่งกลกลอน และการมีมธุรสวาจา รวมทั้งการตั้งปณิธานที่สูงส่งแตกต่างจากผู้คนทั่วไป นางจึงมิใช่คนฉลาดประเภทรู้จักใช้ไหวพริบเพื่อเอาตัวรอด หรือการเล่น กับสำนวนภาษาเพื่อให้ตนได้ผลประโยชน์ เช่น ศรีธนญชัยแต่เป็นการใช้ปัญญาผสานกับความรู้และฝีมือการช่าง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างผลงานอันจะนำไปสู่ชื่อเสียงเกียรติยศที่ปรารถนา ดังที่นางตั้งใจประดิษฐ์โคมดอกกระมุท ทำพวงดอกไม้รูปพานขันหมากและทำพนมดอกไม้ทองและกอปทุมชาติ เพื่อให้เป็น แบบอย่างไปได้ในแผ่นดินชั่วกัลปาวสาน” (๑๕๙)
                การแสดงถึงความเป็นผู้มีปัญญาของนางนพมาศนั้น ปรากฏให้เห็นอยู่หลายตอน นางได้แสดงปัญญาในหมู่เครือญาติตอนที่พระศรีมโหสถทดสอบปัญญา นางได้ตอบคำถามและเล่านิทานเปรียบเทียบ และได้แสดงปัญญาในที่มหาสมาคมถึง ๓ ครั้ง ในการคิดค้นและประดิษฐ์งานฝีมือดอกไม้ให้เป็นที่ประจักษ์เป็นโคมดอกกระมุทและเป็นพานขันหมาก และที่สำคัญที่สุดคือการแต่งกลอนถวายสมเด็จพระร่วงเจ้า เป็นการแสดงปัญญาที่สื่อถึงความฉลาดลึกซึ้งของนาง ในบทกลอนนั้น นอกจากจะชมความงามของงานพระราชพิธีแล้ว นางยังได้แสดงเมตตาจิตต่อนางสนมกำนัลอื่น ๆ ด้วยการทูลขอโอกาสให้นางสนมเหล่านั้นได้มาชมความงามของพระราชพิธีด้วย ซึ่งทำให้นางสนมกำนัลต่างซาบซึ้งในน้ำใจของนางนพมาศ นางนพมาศจึงไม่มีผู้ปองร้ายหรืออิจฉาริษยาเพราะนางได้สกัดกั้นไว้ล่วงหน้าเช่นนั้นแล้ว อย่างไรก็ตาม การแสดงปัญญาของนางแต่ละครั้ง ได้แสดงถึงความคิดที่สอดคล้องกันว่า สตรีมีหน้าที่ปรนนิบัติต่อบุรุษผู้เป็นเจ้าของและผู้มีพระคุณซึ่งเป็นหน้าที่ที่พึงกระทำอย่างสม่ำเสมอ นางนพมาศแสดงให้ว่า การจะเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมควรแก่การสรรเสริญนั้น ต้องเป็นผู้ไม่บกพร่องด้านการบ้านการเรือน พร้อมทั้งมีจริตกิริยาเป็นที่รักใคร่แก่ผู้พบเห็น ต้องมีคุณธรรม และกุลสตรีที่ปรารถนาจะเป็นแบบอย่างต่อชนรุ่นหลังได้นั้น ยังต้องฝากฝีมือในเชิงประดิษฐ์สิ่งแปลกใหม่ให้เป็นที่ปรากฏแก่ชนทั้งหลายอีกด้วย
นางนพมาศไม่ได้แสดงปัญญาในการคิดค้นให้งามประหลาดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังได้แสดงฝีมือการช่าง คือ แกะรูปมยุราคณานกวิหคหงส์ประดับ” (๙๙) อีกด้วย เช่นเดียวกับฝีมือตกแต่งดอกไม้ให้เป็นรูปพานสองชั้น กลายเป็นพานขันหมาก และทำพนมดอกไม้ทองและกอโกสุมปทุมทอง เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงสักการะบูชาพระรัตนตรัยและเทวรูป
                ปัญญาของนางที่ได้แสดงให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน ล้วนแต่เป็นการคิดค้นที่ไม่เคยมีผู้ใดประดิษฐ์มาก่อนในทางการฝีมือ นางจึงเป็น สตรีนักปราชญ์ฉลาดในวิชาช่าง” (๑๕๐) ซึ่งก็คือ งานฝีมือการแกะสลักและจัดดอกไม้ อันเป็นวิชาที่สังคมสงวนไว้ให้เป็นวิชาของสตรีในค่านิยมของสังคมไทยเวลานั้น๒๕  นางจึงเป็นตัวละครที่ดำเนินชีวิตไปตามครรลองที่สังคมกำหนดหน้าที่ที่แยกกันระหว่างสตรีกับบุรุษอย่างค่อนข้างชัดเจน และนางก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งการแสวงหาชื่อเสียงที่ไม่ก้าวล่วงไปในหน้าที่ของบุรุษ หรือคิดแข่งเพื่อความทัดเทียมกัน เช่น การปกครองบ้านเมือง และการรบแบบนางละเวงวัณฬาในเรื่องพระอภัยมณี ตรงกันข้าม การแสดงความเชี่ยวชาญของนางนั้น เป็นการตอกย้ำความคิดที่ว่าหน้าที่ที่เหมาะสมของสตรี คือ การปรนนิบัติและรับใช้ชาติบ้านเมืองในวิชาการช่าง มิใช่การรบทัพจับศึกหรือการปกครองซึ่งเป็นหน้าที่ของบุรุษ นางจึงได้รับการยกย่องในฐานะกุลสตรีผู้เป็นแบบอย่าง ดังที่นางกล่าวว่า ก็เห็นว่าควรท่านทั้งหลายผู้ได้นามชื่อว่า พระสนมกำนัล จะพึงประพฤติตามเยี่ยงข้าน้อยนี้บ้างในอนาคตเบื้องหน้า (๑๕๐)
                ในส่วนของการแสดงปัญญาด้วยการเล่านิทานเปรียบเทียบทั้งสามเรื่องนั้น นางนพมาศได้ชี้ให้เห็นว่า ถ้าผู้เป็นสตรีละเลยต่อหน้าที่ที่พึงปฎิบัติตามที่กล่าวมา ความระส่ำระสายและความเดือดร้อนย่อมมาเยือน ดังที่ปรากฏในนิทานเรื่องนางนกกระต้อยตีวิดโลเล นางช้างแสนงอน และนางนกกระเรียนคบนางนกไส้ช่างยุ
นิทานทั้งสามเรื่องนี้ เป็นเรื่องเล่าขนาดเล็กที่ซ้อนอยู่ในเรื่องเล่าขนาดใหญ่ มีเนื้อหาสาระที่สอดคล้องไปในทำนองเดียวกันกับโครงเรื่องใหญ่ คือ เรื่องของนางนพมาศ (ซึ่งปรารถนาจะเป็นบาทบริจาริกาและได้มีโอกาสปรนนิบัติพระเจ้าแผ่นดิน) แต่ก็แสดงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับหญิงที่ขาดคุณสมบัติอย่างที่ตัวนางมี กล่าวคือโครงเรื่องของนิทานว่าด้วยความบกพร่องในการปรนนิบัติ
ผู้เป็นจ่าฝูงหรือเป็นผู้มีพระคุณ นิทานเหล่านี้นอกจากจะมีความสำคัญคือเป็นเครื่องมือแสดงปัญญาของนางนพมาศแล้ว ยังเป็นหนทางให้นางนพมาศได้กล่าวถึงความประพฤติที่นางไม่อาจว่ากล่าวได้ตรง ๆ หรือจัดการลงโทษผู้ใดได้ในชีวิตจริง นางจึงให้ตัวละครรุกขเทวดา นางช้างอากาศจรี และราชปุโรหิต เป็นผู้ว่ากล่าวสั่งสอนและจัดการลงโทษผู้ที่ละเลยฝ่าฝืนข้อวัตรปฏิบัติที่เคยประพฤติดีมาก่อน
ถ้าพิจารณานิทานทั้งสามเรื่องนี้ ในแนวทางการศึกษาโครงสร้างของพรอพพ์ (Propp)๒๖ จะเห็นว่า นิทานทั้งสามเรื่องมีโครงสร้างแบบเดียวกัน คือ () ตัวเอกทำความดี - สังคมปกติสุข () ตัวเอกละเลยข้อปฏิบัติ - สังคมแปรปรวน  () ตัวเอกได้รับการสั่งสอนและถูกลงโทษ - สังคมปกติสุขดังเดิม
นางนพมาศเล่านิทานเหล่านี้ ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงภาระหน้าที่ของสตรีที่มีต่อบุรุษ โดยชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมเช่นใดที่สตรีไม่พึงกระทำต่อบุรุษ และแสดงผลของกระทำที่ไม่ดีนั้นให้ปรากฏ ทั้งส่วนรวมและส่วนตน ส่วนรวมนั้นได้แก่ การสูญเสียที่อยู่อาศัยของกลุ่มนกกระต้อยตีวิดในเรื่องนางนกกระต้อยตีวิดโลเล และเมืองวัฒนานครถึงกับกาลวิบัติในเรื่องนางนกกระเรียนคบนางนกไส้ช่างยุ และในส่วนตนนั้นนางนกต้อยตีวิดถูกลูกน้องดุด่าว่าเป็นต้นเหตุให้เกิดความวิบัติ และการถูกลงโทษอย่างหนักทั้งนกไส้และนกกระเรียน คือถูกขับไล่ออกจากเมือง นิทานเรื่องที่นับว่ามีเนื้อหาแตกต่างไปจากเรื่องอื่นคือเรื่องนางช้างแสนงอน ที่นอกจากจะชี้ให้เห็นพฤติกรรมที่ไม่ควรกระทำของนางช้างและแสดงผลของการกระทำนั้นคือ ต้องออกจากหมู่ช้างไปและยังถูกเยาะเย้ยถากถางให้ได้รับความอับอายอีกด้วย ตัวละครที่เยาะเย้ยคือนางช้างอากาศจรี ซึ่งเป็นผู้สั่งสอนนางช้างแสนงอนทั้งสองเชือก และฉวยโอกาสซ้ำเติมให้นางช้างทั้งสองเจ็บใจยิ่งขึ้นอีก
                จะเห็นว่านิทานทำหน้าที่บอกล่วงหน้า (anticipate) โดยนัยถึงส่วนที่จะเป็นการวิจารณ์ความประพฤติของเหล่านางสนมในราชสำนักโดยตรง อันเป็นตอนจบของตัวบทใหญ่นั่นเอง นอกจากนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวละครเอก นิทานทั้งสามเรื่องยังแสดงถึงเชาวน์ปัญญาอันแยบคายของนางนพมาศซึ่งตอบคำถามของบิดา ซึ่งถามนางว่า

ดูก่อนนางนพมาศ อันสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเสวยสิริราชสมบัติบริบูรณ์ ด้วยบาทบริจาริก มีพระอัครมเหสีก็สองพระองค์ พระสนมกำนัลนางบำเรอก็มีเป็นอันมาก ล้วนแต่ทรงลักษณะรูปสิริวิลาส เป็นที่จำเริญพระหฤทัย ตัวเจ้ายังจะประพฤติในราชกิจให้ทรงพระเมตตาแก่ตัวได้หรือมิได้เป็นดังฤา (๔๖)

ส่วนในแง่ของวิธีการเล่าเรื่องในนิทานทั้งสามนั้น จะพิจารณาในตอนที่ว่าด้วยนางนพมาศในฐานะ ผู้เล่าเรื่อง ในช่วงต่อไป
                จะเห็นได้ว่า การใช้ปัญญาของนางนพมาศเป็นไปในแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของกุลสตรีโดยเฉพาะเรื่องการบ้านการเรือน ขณะเดียวกันก็มีผลทาง การเมือง ด้วย คือการไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของบุรุษ และปฏิบัติงานของตนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมในการแบ่งสรรบทบาทของชายและหญิงในยุคนั้นอย่างชัดเจน

นางนพมาศ : นางเอกที่ถูกมองข้าม(3)

นางนพมาศ : ตัวละครในอุดมคติ
                นางนพมาศเป็นตัวละครเอกหญิงที่สมบูรณ์แบบตามอุดมคตินิยม (idealistic character) ดังที่ รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ กล่าวว่า นางนพมาศเป็นตัวแบบหนึ่งของหญิงในอุดมคติของสังคม๑๙ แต่มีเรื่องราวของการดำเนินของชีวิตตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสมจริง (verisimilitude) คือเป็นที่ยอมรับได้ในโลกทัศน์ของสังคมสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ความสมบูรณ์แบบของนางไม่เกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แต่อย่างใด (หากแต่จะมีพาดพิงถึงบ้างก็น้อยมาก) ผู้แต่งให้นางเกิดในตระกูลสูงคือเป็นลูกของพราหมณ์ตำแหน่งพระศรีมโหสถ ในพระราชสำนักของสมเด็จพระร่วงเจ้า นางเป็นผู้มีรูปโฉมงดงาม มีทรัพย์สมบัติ และมีปัญญา การที่ผู้แต่งให้นางนพมาศเป็นเพียงลูกขุนนาง แทนที่จะเป็นเจ้าหญิงหรือเชื้อพระวงศ์นั้น ก็เพื่อขับเน้นคุณสมบัติความเป็นสตรีอันเพียบพร้อมที่พบได้ในสตรีสามัญ  ไม่จำเป็นต้องเกิดจากความเป็นเจ้า
                นางนพมาศเป็นลูกของพราหมณ์ชื่อ พระศรีมโหสถ ซึ่งปรากฏใน กฏมณเฑียรบาล ว่า เป็นตำแหน่งของหมอหลวง ซึ่งใช้วิชาความรู้ในการประกอบอาชีพ มิใช่ตำแหน่งของพราหมณ์ผู้ประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา  ดังนั้นอาจเป็นไปได้หรือไม่ว่า ผู้แต่งจงใจใช้ชื่อ ศรีมโหสถเช่นเดียวกับ
ตัวละคร มโหสถในเรื่องมโหสถชาดก เพื่อสื่อถึงความเป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ ใช้ปัญญาเอาชนะศัตรูและสร้างชื่อเสียง ซึ่งก็จะสอดรับกับที่นางนพมาศเป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศและสามารถสร้างชื่อเสียงได้เช่นเดียวกัน การที่ผู้แต่งให้นางนพมาศเป็นลูกของพราหมณ์ ก็เป็นการสร้างเรื่องที่เหมาะสมแก่เหตุผลหลายประการ คือ ทำให้นางได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนตามสายบรรพบุรุษ
ดังที่อ้างว่าเรียน คัมภีร์ไตรเพท ซึ่งเป็นคัมภีร์พระเวทที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม ได้แก่ ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท ผู้หญิงที่จะศึกษาสิ่งเหล่านี้ ต้องเป็นผู้ที่เกิดในตระกูลพราหมณ์เท่านั้น และการเกิดเป็นผู้สืบเชื้อสายตระกูลพราหมณ์ ยังเชื่อมโยงไปถึงการเป็นผู้เล่าเรื่องพระราชพิธีที่เกี่ยวกับลัทธิพราหมณ์ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนเล่าถึง พระราชพิธีเคณฑะ ว่า

                อันว่าการพระราชพิธีเคณฑะทิ้งข่างนี้ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมิได้เสด็จออกไปทรงทอดพระเนตร แต่กาลก่อนก็มิได้โปรดให้นางในไปทอดทัศนา ครั้นเมื่อข้าน้อยนี้เข้าไปรับราชการเป็นข้าพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชบรรหารดำรัสว่า ข้าน้อยเป็นชาติตระกูลพราหมณ์ จึ่งโปรดให้ไปทอดทัศนาการพระราชพิธีเคณฑะกับพระสนมกำนัลซึ่งเป็นเชื้อพราหมณ์ด้วยกัน 
(๑๒๘)

หรือที่อ้างไว้ใน พระราชพิธีพรุณศาสตร์ว่า อันว่าการพระราชพิธีพรุณศาสตร์นี้เมื่อข้ามีอายุ ๗ ขวบปลาย ได้ตามพระศรีมโหสถผู้เป็นบิดาไปทอดทัศนาครั้งหนึ่ง จึ่งจำไว้ได้” (๑๓๗) ย่อมหมายถึงว่า ถ้าเป็นผู้ที่เกิดในตระกูลอื่น ก็จะไม่ได้เห็นพระราชพิธีทั้งสองนี้อย่างแน่นอน การกำหนดให้นางนพมาศซึ่งมีฐานะเป็นตัวละครเอกเกิดในเชื้อสายของพราหมณ์ จึงเป็นการวางระเบียบของเรื่องไว้อย่างสอดคล้องกับความสมจริง
ในบทเพลงขับสรรเสริญนางนพมาศ ได้กล่างถึงรูปโฉมของนางว่า ชื่ออนงค์นพมาศวิลาศลักษณ์ ละไมละม่อมพร้อมพริ้งยิ่งนารี จำเริญศรีสมบูรณ์ประยูรศักดิ์ขณะเดียวกันนางก็เป็นนักปราชญ์ฉลาดด้วยบิดาสอนซึ่งในวรรณกรรมร่วมสมัยไม่ปรากฏว่ามีตัวละครเอกหญิงในเรื่องใดจะมีความรู้และความสามารถทัดเทียมกับนางนพมาศได้ ด้วยไม่เพียงแต่มีความรู้และปัญญาเท่านั้น  นางยังมีโอกาสได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วไปอีกด้วย  นอกจากนี้ นางยังเป็นผู้มีศีลาจารวัตรและใส่ใจในความปรารถนาของผู้อื่น ประกอบกับมีโวหารที่จะพูดจาให้เกิดความรักและเมตตา นางจึงไม่มีศัตรู เพราะนางได้ ซื้อใจของพวกเขาไว้ก่อนหน้าแล้วด้วยการ เอื้อเฟื้อและให้ผลประโยชน์แก่ผู้ที่อาจจะมาเป็นศัตรูในภายหลังได้ ซึ่งก็ได้แก่นางสนมนางในที่อยู่ด้วยกันในราชสำนัก นางนพมาศจึงเป็นนางเอกที่ไม่ต้องประสบความผันผวนในชีวิตเหมือนอย่างที่พบเห็นได้ในนิยายทั่วไปสมัยนั้น
                นางนพมาศเป็นตัวละครที่มีการดำเนินชีวิตราบรื่น และประสบความสำเร็จด้วยการแสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแผ่นดิน นางได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นกุลสตรีที่มีทั้งความงามและปัญญาควบคู่กันไป

นางนพมาศ : นางเอกที่ถูกมองข้าม(2)

ลักษณะของตัวบทตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์  
เมื่อพิจารณาเนื้อหาและลีลาของหนังสือเรื่องนี้ จะเห็นว่า ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ที่มีลักษณะของเนื้อหาและวิธีการนำเสนอแตกต่างกัน จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นตัวบทคนละประเภทกัน   ประเภทของตัวบทที่พบในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ แบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ ๑.ส่วนที่เป็นตำราได้แก่ ส่วนที่มีเนื้อหาลีลาเป็นการให้ข้อมูลความรู้ และมีการแจกแจงอย่างละเอียด  .ส่วนที่เป็นนิยาย ได้แก่ เนื้อหาลีลาที่มีลักษณะเป็นเรื่องเล่า (narrative) คือ มีโครงเรื่อง มีการดำเนินเรื่อง มีตัวละคร และฉาก (สถานที่, เวลา) และ ๓.ส่วนที่เป็น การวิจารณ์นางในราชสำนัก ได้แก่ เนื้อหาที่ใช้ถ้อยคำประชดประชันเสียดสีหญิงประเภทต่าง ๆ ที่เป็นนางสนม ตัวบทแต่ละส่วนของเรื่อง ล้วนมีตัวละครนางนพมาศเป็นแกนร้อยรัด ดังที่สุพจน์ แจ้งเร็วเคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เธอ (นางนพมาศ)  เป็นตัวดำเนินเรื่องนี้ เป็นศูนย์กลางของเนื้อหาทั้งหมดที่ประกอบกันขึ้นเป็นหนังสือเรื่องนี้๑๔ ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ส่วนที่เป็น นิยาย นับเป็นส่วนสำคัญที่สุด เพราะส่วนที่มีนางนพมาศเป็นตัวละครเอกและเป็นผู้เล่าเรื่องทำหน้าที่ควบคุมเนื้อหาส่วนอื่น ๆ ให้กลายเป็นองค์ประกอบของเรื่องเล่าไปด้วย เนื้อหาส่วนต่าง ๆ ที่ปรากฏ อาจแจกแจงเป็นแผนผังได้ ดังนี้  

ส่วนที่เป็นตำรา

. ตั้งแต่ ว่าด้วยชาติและภาษาต่าง ๆถึงว่าด้วยพระราชจรรยาของพระร่วงเจ้า
(เป็นส่วนแสดงความรู้และทัศนะของนางนพมาศ)
. ตั้งแต่ ว่าด้วยพิธีจองเปรียง ถึงว่าด้วยความประพฤติแห่งนางสนม
ส่วนที่เป็นนิยาย

. ตั้งแต่ ประวัตินางนพมาศก่อนเป็นพระสนม ถึง นางเรวดีนำนางนพมาศเข้าถวายตัว  (แสดงประวัติของนางนพมาศ)

. นิทานเรื่องนางนกกระต้อยตีวิดโลเล” “นางช้างแสนงอนและ นางกระเรียนคบนางนกไส้ช่างยุ” (แทรกอยู่ในประวัติของนางนพมาศ)
ส่วนที่เป็นการวิจารณ์นางในราชสำนัก
. ว่าด้วยประพฤติแห่งนางสนม
(แสดงทัศนะของนางนพมาศ)


(ลำดับ  .....  แสดงลำดับที่ปรากฏในตัวบท)

จากการศึกษาประวัติวรรณคดีไทย อาจกล่าวได้ว่าในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (.. ๒๓๒๕ - ๒๓๙๔) นิยมแต่งหนังสือที่เป็นเรื่องสมมุติ (fiction) ด้วยคำประพันธ์ร้อยกรอง และใช้คำประพันธ์ร้อยแก้วในการแต่งเรื่องที่มีเนื้อหาจัดได้ ๓ กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มแรกเป็นเรื่องที่รวบรวมและชำระจากเอกสารที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ กฏหมายและพระราชกำหนดบทอัยการต่าง ๆ พระราชพงศาวดารและเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา เช่น ไตรภูมิโลกวินิจฉัยรัตนพิมพวงศ์ มหาวงศ์ และไตรเพท  กลุ่มที่สอง เป็นเรื่องที่แปลจากวรรณกรรมต่างประเทศ ได้แก่ สามก๊ก ไซ่ฮั่น ราชาธิราช และ นิทานอิหร่านราชธรรม  และกลุ่มที่ ๓ ได้แก่ ตำรา เช่น ตำรายา และบันทึก เช่น จดหมายเหตุ พระราโชวาท พระราชกระแสรับสั่ง พระราชปุจฉา และพระราชปรารภต่าง ๆ  การใช้รูปแบบการประพันธ์ด้วยภาษาร้อยกรองจึงอิงอยู่กับเนื้อหาที่ถือว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องที่เชื่อว่าเป็นจริง
                ถ้าไม่คำนึงถึงหนังสือที่แปลจากวรรณกรรมต่างประเทศ อาจกล่าวได้ว่าเรื่องที่เป็นนิยายจะมีขนบของการแต่งดังนี้ คือ แต่งด้วยภาษาร้อยกรอง มีองค์ประกอบของเรื่องเล่า ได้แก่ เนื้อเรื่อง โครงเรื่อง มีความผันผวนของเหตุการณ์ ฉาก และตัวละคร  นอกจากนี้ยังแสดงจุดหมายในการแต่งว่าเพื่อความเพลิดเพลิน ดังเช่นในตอนท้ายของบทละครเรื่อง รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑

                                อันพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์           ทรงเพียรตามเรื่องนิยายไสย
ใช่จะเป็นแก่นสารสิ่งใด                                    ตั้งพระทัยสมโภชบูชา
ใครฟังอย่าได้ใหลหลง                                       จงปลงอนิจจังสังขาร์

หนังสือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ มีตัวละคร และฉาก ซึ่งถูกนำเสนอให้เชื่อกันว่ามีจริง แต่ก็มีโครงเรื่องเช่นเดียวกับนิยาย แม้ว่าเป็นโครงเรื่องที่ราบเรียบ๑๕ ไม่มีเหตุการณ์ทำให้ตัวละครผันผวน และในส่วนของเนื้อเรื่องยังประกอบด้วย พระราชพิธีและขนบธรรมเนียมว่าด้วยความประพฤติของนางสนมในราชสำนัก ทำให้ไม่อาจระบุจุดหมายของผู้แต่งให้ชัดเจนได้ อีกทั้งการแต่งด้วยคำประพันธ์ร้อยแก้วและการใช้คำว่า ตำรับในชื่อเรื่อง ทำให้เข้าใจได้ว่าหนังสือเรื่องนี้คล้ายตำรา แต่ก็ไม่ใช่การเรียบเรียงแบบคัมภีร์ทางศาสนาเช่น  ไตรภูมิกถา หรือแบบเรื่องเล่าสืบต่อกันมา และเชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริง เช่น ตำนานและพงศาวดาร  จึงอาจกล่าวได้ว่า หนังสือเรื่องนี้มีลักษณะเป็น เอกสารพันทาง คือ มีส่วนที่เป็นความรู้ ตัวละครมีตำแหน่งเป็นนางพระสนม (ตำแหน่งจริงในประวัติศาสตร์)  และใช้ฉากที่นำเสนอว่าเป็นเช่นนั้นจริงในสมัยสุโขทัย จึงทำให้มีผู้เชื่อว่า นางนพมาศเป็นนางพระสนมที่มีตัวตนจริง๑๖
                อันที่จริง สาเหตุที่ทำให้มีผู้เชื่อว่านางนพมาศมีตัวตนจริงนั้นมีหลายประการ  ประการหนึ่งได้แก่ การกล่าวถึงตัวละครที่มีตำแหน่งเป็นพระสนมเอก ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีมาตั้งแต่ในสมัยสุโขทัย ดังที่ปรากฏในจารึกวัดอโศการาม พ.. ๑๙๔๒ ว่า แลดิถีนาที อันโยคยโยคี สมเด็จพระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์ อัครราช(มเหสี)เทพธร(ณีโล)กรัตน....มาทปรวราก็เป็นชายาแด่สมเด็จมหาธรรมราชาธิราชในจารึกด้านที่ ๒ มีคำจารึกเป็นภาษาบาลี ความตอนหนึ่งกล่าวถึงพระมเหสี คือ สมเด็จพระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์ แปลได้ว่า พระมเหสีของพระธรรมราชาพระองค์นั้น....พระราชาเหล่านั้น...มีความงามน่ารัก ทรงประดับเครื่องประดับคือศีลพระนางทรงยินดีในการรักษาศีล ๕ มีปัญญามาก เป็นยอดนารี (อันใหญ่ยิ่ง) มีพระยศใหญ่ยิ่งทรงเลื่อมใสในพระรัตนตรัย๑๗  ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีปรากฏใน กฏมณเฑียรบาล ว่า ตำแหน่งศรีจุฬาลักษณ์ เป็นตำแหน่งหนึ่งในสี่ของพระสนมเอก ได้แก่ อินทรเทวี อินทรสุเรนทร ศรีสุดาจันทร์ และศรีจุฬาลักษณ์

ในเรื่องนี้ยังได้กล่าวถึงสมเด็จพระร่วงเจ้า แห่งอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งเป็นบุคคลที่มีลักษณะกึ่งจริง คือ เป็นวีรบุรุษที่มีตัวตนจริงในความเชื่อของชาวบ้าน และเป็นผู้นำทางวัฒนธรรม” (culture hero) ในท้องถิ่นบริเวณสุโขทัย๑๘ ภาพลักษณ์ของสมเด็จพระร่วงเจ้าที่ปรากฏในเรื่องนี้น่าจะสอดคล้องกับความเชื่อของคนในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือแม้แต่ในปัจจุบันก็ยังคงมีความเชื่อเช่นนั้นอยู่
                นอกจากนี้ ยังมีการพรรณนาสภาพความเป็นอยู่ที่อุดมสมบูรณ์ของชาวเมืองสุโขทัย ซึ่งเป็นการสร้างฉากที่สอดรับกับความเชื่อที่คนในสมัยรัตนโกสินทร์มีต่ออาณาจักรสุโขทัยว่าเป็นอาณาจักรที่มีความอุดมสมบูรณ์  จึงกล่าวได้ว่า ทั้งตัวละครและฉากที่ปรากฏในเรื่อง ล้วนสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่หนังสือเรื่องนี้เป็นอย่างดี และสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เรื่องนี้แต่งด้วยภาษาร้อยแก้ว  ซึ่งในเวลานั้นมีขนบของการใช้ร้อยแก้วในการนำเสนอเรื่องที่เป็นจริงหรือมีลักษณะเป็นความรู้   การที่หนังสือเรื่องนี้แต่งด้วยร้อยแก้วจึงสื่อนัยยะถึงความเป็นเรื่องจริงไปด้วย แต่การที่นางนพมาศจะมีต้นแบบซึ่งมีตัวตนจริงในสมัยรัชกาลที่ ๓ หรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญในการศึกษาครั้งนี้ เพราะในเรื่อง นางนพมาศถูกนำเสนอว่าเป็นคนในสมัยสุโขทัย ดังนั้นนางจึงมีฐานะเป็นเพียงตัวละครในเรื่อง ซึ่งแต่งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเท่านั้น

นางนพมาศ : นางเอกที่ถูกมองข้าม(1)

นางนพมาศ หรือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ นับว่าเป็นวรรณกรรมที่มีอิทธิพลต่อสังคมและวัฒนธรรมไทยในปัจจุบัน เพราะมีส่วนกำหนดประเพณีลอยกระทงขึ้นจากการที่เชื่อกันว่านางนพมาศได้ประดิษฐ์กระทงรูปดอกบัวลอยบูชาพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทาในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง  และยังมีการประกวดนางนพมาศเป็นส่วนหนึ่งในประเพณีนี้อีกด้วย
เท่าที่ผ่านมานักวิชาการส่วนใหญ่ให้ความสนใจ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ในแง่ของประวัติวรรณคดีเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องยุคสมัยที่แต่ง ผู้แต่ง และจุดมุ่งหมายของการแต่ง จนมาถึงการศึกษาวิเคราะห์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ซึ่งอาจถือว่าเป็นนักวิชาการท่านแรกที่ให้ความสำคัญแก่ตัวบทโดยชี้ให้เห็นถึงลักษณะของความเป็น นิยายในวรรณกรรมเรื่องนี้ แต่ความสนใจของนิธิ ก็มุ่งไปที่เนื้อหาของบทพรรณนาว่าด้วย โลกภูมิ ชาติพันธุ์ และภาษา อันเป็นตอนต้นของเรื่อง และอยู่ในส่วนของตัวบทที่เข้าข่ายเป็น ตำรา มิใช่ส่วนที่เป็น นิยายโดยตรง
บทความนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะวิเคราะห์ตัวบทส่วนที่ถือได้ว่าเป็นนิยายแท้ ๆ ใน ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ อย่างละเอียด เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของนางนพมาศในฐานะตัวละครและผู้เล่าเรื่อง โดยจะใช้วิธีการวิเคราะห์ในแนวที่เรียกว่า ศาสตร์ว่าด้วยเรื่องเล่า” (narratology) อันจะนำไปสู่ข้อพิจารณาถึงความแปลกใหม่ของหนังสือเล่มนี้ในยุคต้นรัตนโกสินทร์
สถานะแห่งความรู้เกี่ยวกับ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นหนังสือที่มีปัญหาอย่างน้อยสามประการ ปัญหาประการแรกเกี่ยวกับสมัยที่แต่ง ด้วยเนื้อเรื่องที่ดำเนินในสมัยสุโขทัย อ้างถึง สมเด็จพระร่วงเจ้าทำให้แต่เดิมเชื่อกันว่า เป็นหนังสือที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย กรมศิลปากรจึงได้พิมพ์รวมไว้ในหนังสือ วรรณกรรมสุโขทัย เช่นเดียวกับ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ไตรภูมิกถา และสุภาษิตพระร่วง
อย่างไรก็ตาม สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงวินิจฉัยไว้ในการพิมพ์ครั้งแรก (.. ๒๔๕๗) แล้วว่าเป็นหนังสือที่แต่งในครั้งกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง แต่งในระหว่างรัชกาลที่ ๒ กับที่ ๓ ไม่ก่อนนั้นขึ้นไป ต่อมาในบทความเรื่องโลกของนางนพมาศ นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการสาขาประวัติศาสตร์ได้ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลที่ปรากฏในเรื่อง โดยเปรียบเทียบกับเอกสารประวัติศาสตร์  และพิจารณาสำนวนภาษาแล้วสรุปว่า เห็นได้ชัดว่าเขียนขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ น่าจะเขียนขึ้นระหว่าง พ.. ๒๓๖๐ ถึงสิ้นรัชกาลที่ ๓ โดยประมาณ มีผู้สนับสนุนความคิดของนิธิ เอียวศรีวงศ์ หลายท่าน ได้แก่ สุจิตต์ วงษ์เทศ และสุพจน์ แจ้งเร็ว
ปัญหาประการที่สองเกี่ยวเนื่องกับผู้แต่งและจุดประสงค์ของการแต่ง ซึ่งยังไม่เป็นข้อยุติ แต่ก็เป็นที่ยอมรับในหมู่นักวิชาการวงวรรณกรรมแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีส่วนพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ด้วย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นตอนนางนพมาศเจรจากับบิดามารดาเมื่อก่อนจะเข้าไปรับราชการและศักดิ์ศรี แย้มนัดดาเคยกล่าวว่า ตอนที่ว่าด้วยขนบธรรมเนียมนางสนมก็น่าจะเป็นพระราชนิพนธ์ด้วยเช่นกัน (สัมภาษณ์) อย่างไรก็ตามหนังสือเรื่องนี้ยังมีตอนที่ว่าด้วยชาติพันธุ์ภาษาต่าง ๆ ประวัตินางนพมาศ และพระราชพิธีสิบสองเดือน โดยเฉพาะพิธีของพราหมณ์ซึ่งเป็นพิธีเก่า ส่วนเหล่านี้ไม่อาจระบุผู้แต่งได้ หนังสือเรื่องนี้จึงน่าจะมีผู้แต่งมากกว่าหนึ่งคน และอาจจะต่างสมัยกันก็เป็นได้
ดูเหมือนว่าผู้แต่งจะมีจุดประสงค์ที่จะรวบรวมพระราชพิธีต่าง ๆ เข้า ด้วยกัน โดยเฉพาะพิธีของพราหมณ์ ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า หนังสือเรื่องนี้ของเดิมเขาจะมีจริง  เพราะลักษณะพิธีของพราหมณ์ที่กล่าวไว้ในหนังสือเรื่องนี้  โดยมากเป็นตำราพิธีจริงและเป็นพิธีอย่างเก่า  อาจจะใช้เป็นแบบแผนก่อนครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา  ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ใดจะมาคิดปลอมขึ้นใหม่ได้ทั้งหมด  ส่วนสุพจน์ แจ้งเร็วได้เสนอว่า หนังสือนี้น่าจะแต่งขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายที่จะให้คำสั่งสอนทางความคิด ความเชื่อ ความประพฤติแก่เหล่านางสนมในราชสำนักเป็นสำคัญ กล่าวได้ว่าจุดประสงค์ในการแต่งเรื่องนี้จึงยังไม่อาจหาข้อสรุปที่ชัดเจน
ปัญหาประการสุดท้าย การจัดประเภทของเอกสาร ซึ่งยังคงประสบปัญหาว่าจะจัดเป็นวรรณกรรมในความหมายของเรื่องสมมุติ (fiction) ได้หรือไม่  ในประวัติวรรณคดีไทยได้จัดให้หนังสือเรื่องนี้ มีความสำคัญเป็นตำรา ว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีและศิลปะการช่างสตรี อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้หนังสือเรื่องนี้เป็นหลักฐานในการทรงพระราชนิพนธ์ พระราชพิธีสิบสองเดือน๑๐  พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า  หนังสือเรื่องนี้เดิมเป็นตำราการพระราชพิธีประจำเดือนทั้ง ๙ นอกพรรษา๑๑ และรื่นฤทัย สัจจพันธุ์ได้จัดไว้ในหมวดวรรณกรรมคำสอน๑๒ หนังสือเรื่องนี้จึงถูกจัดเป็น ตำราเกี่ยวกับคำสอน  ขนบธรรมเนียมและพระราชพิธีมาโดยตลอด              
นิธิ เอียวศรีวงศ์ได้พิจารณาหนังสือเรื่องนี้ในด้านวรรณกรรม และตั้งข้อสังเกตได้ว่าภาษาในหนังสือเรื่องนี้เป็นความเรียงหรือร้อยแก้วที่แตกต่างจากเรื่องอื่น คือ ไม่ใช่เรื่องที่ผูกพันอยู่กับศาสนาและราชการอีกทั้งไม่ใช่เรื่องของ ต่างด้าวแต่เป็นวรรณกรรมที่มี นิยายอยู่ และได้กล่าวเป็นเชิงสรุปว่าถ้าถือว่าเรื่องนางนพมาศเป็นวรรณกรรมเชิงนิยายก็จะเป็นเรื่องแรกที่ใช้ภาษาความเรียงเขียนโดยไม่ได้แปลมาจากภาษาอื่น๑๓ อาจกล่าวได้ว่าหนังสือเรื่องนี้มีปัญหาด้านการจัดประเภท เพราะมีบางส่วนจัดอยู่ในข่ายของตำราแต่มีบางส่วนจัดว่าเป็นนิยายในความหมายที่เป็นเรื่องสมมุติ ตัวบทหนังสือเล่มนี้จึงมีลักษณะพิเศษที่ไม่เคยปรากฏในหนังสือเล่มใดมาก่อน จึงสมควรที่จะพิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียดในลำดับต่อไป
 


ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์

ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ : อัตชีวประวัติสมมุติเรื่องแรกของไทย

ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น (จากรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๓) นับได้ว่าเป็นยุคแห่งนวัตกรรมทางวรรณคดีที่คึกคักที่สุดยุคหนึ่งในประวัติวรรณคดีไทย
หากมองย้อนกลับไปอย่างพินิจพิเคราะห์ การเสียกรุงศรีอยุธยาแม้จะสร้างความเสียหายอย่างมากมายต่อชนชาติไทย แต่ขณะเดียวกันก็มีผลในทางบวก เพราะว่าได้กระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกและภูมิปัญญาใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเมือง สังคม และศิลปวัฒนธรรม
ในทางวรรณคดีนั้น ความคึกคักเกิดจากกระแสอันหลากหลายที่ปรากฏในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ในด้านหนึ่งมีความพยายามที่จะสร้างความสืบเนื่องกับอารยธรรมของกรุงศรีอยุธยา ด้วยการนำเอาวรรณคดีอยุธยาที่สูญหายหรือเสียหายไปเมื่อครั้งเสียกรุงฯ มาสร้างขึ้นใหม่ เช่น เรื่อง  รามเกียรติ์ อิเหนา และบทละครหลายเรื่อง ฯลฯ ในอีกด้านหนึ่งยังมีการรับเอาวรรณกรรมจากต่างชาติต่างภาษาเข้ามาในรูปของการแปล เช่น สามก๊ก ราชาธิราช ฯลฯ ซึ่งเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ นอกเหนือจากนั้นแล้ววรรณกรรมที่กำเนิดขึ้นในยุคนี้โดยเฉพาะก็นำเสนอลักษณะที่แปลกใหม่หลายประการ อันเป็นผลจากการสะดุดของขนบเดิม และจิตสำนึกที่เปลี่ยนแปลงไปไม่มากก็น้อย
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า นางนพมาศ นั้น นับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศทางวรรณกรรมอันคึกคักดังกล่าว ความน่าสนใจของหนังสือเรื่องนี้อยู่ที่กลวิธีการเล่าเรื่องซึ่งไม่เคยปรากฏใน วรรณคดีไทยเรื่องใดมาก่อน นั่นคือรูปแบบที่ทางวรรณกรรมสากลเรียกกันในปัจจุบันว่า อัตชีวประวัติสมมุติ อีกทั้งวรรณคดีเรื่องนี้ยังแปลกพิเศษตรงที่นำเอาประเภท (genre) ของวรรณกรรมหลายแบบมารวมกันไว้ในกรอบของอัตชีวประวัติสมมุตินี้อีกด้วย
อัตชีวประวัติสมมุติ (fictional autobiography) เป็นงานประพันธ์ชนิดหนึ่งที่จัดเป็นบุคคลสมมุตินำเรื่องราวของตนเอง (ซึ่งก็เป็นเรื่องราวสมมุติเช่นกัน) มาเล่าให้ผู้อ่านได้รับทราบ ในกรณีของตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์นี้ ก็คือตัวละครนางนพมาศนำเอาประสบการณ์ของตนเองจากปฐมวัยจนถึงช่วงที่บรรลุจุดสูงสุดในชีวิตมาเล่า ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นแบบอย่างแก่ชนรุ่นหลัง  อย่างไรก็ตามอัตชีวประวัติสมมุติก็มิใช่อัตชีวประวัติจริง ดังเช่นเรื่อง ฟื้นความหลัง ของพระยาอนุมานราชธน หรือ ชีวิตเหมือนฝัน ของคุณหญิงมณี สิริวรสาร เพราะในงานที่เอ่ยชื่อมาเหล่านี้ มีข้อตกลงกันว่า เป็นการถ่ายทอดชีวิตจริงที่อาจยืนยันได้โดยผู้แต่งหรือคนอื่น ๆ แต่งานที่เรียกกันว่าอัตชีวประวัติสมมุตินั้น แม้อาจจะมีเค้าจากชีวิตจริงของผู้แต่งอยู่ไม่มากก็น้อย เช่น นวนิยายเรื่อง ละครแห่งชีวิต ของม..อากาศดำเกิง รพีพัฒน์ แต่เรื่องราวที่เล่านั้นก็มิได้ถือว่าเกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม รูปแบบการเล่าเรื่องโดยใช้บุรุษที่หนึ่งก็มักมีผลชักจูงให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกลวงว่าเป็นเรื่องจริงได้มากกว่าการเล่าโดยใช้บุรุษที่สาม
ในเรื่อง ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์นี้ ได้มีนักวิชาการจำนวนมากถกเถียงกันเกี่ยวกับยุคสมัยที่แต่ง จนขณะนี้ได้ข้อยุติในระดับหนึ่งแล้ว กล่าวคือ จากเดิมที่เคยหลงเชื่อกันว่าหนังสือดังกล่าวแต่งในสมัยสุโขทัย บัดนี้ทราบกันแล้วว่าแต่งขึ้นในยุคต้นรัตนโกสินทร์ (ดูนิธิ เอียวศรีวงศ์, “โลกของนางนพมาศ, ๒๕๒๒ หรือสุพจน์ แจ้งเร็ว, “นางนพมาศ เรื่องจริงหรืออิงนิยาย, ๒๕๒๖ เป็นต้น) บทความนี้จะไม่พิจารณาประเด็นดังกล่าว แต่จะมุ่งวิเคราะห์ตัวบทวรรณกรรม โดยเน้นที่เทคนิคการเล่าเรื่อง และการบูรณาการประเภทวรรณกรรมต่าง ๆ ไว้ในกรอบของอัตชีวประวัติสมมุติ

เนื้อเรื่องของตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
นางนพมาศ เป็นบุตรีของพราหมณ์ผู้สูงศักดิ์และมีชีวิตอยู่ในสมัยสุโขทัย นางเพียบพร้อมด้วยความงามและปัญญาเป็นสตรีที่ได้รับการศึกษา อบรมถึงขั้นสูงสุด จึงทรงภูมิความรู้ในเรื่องต่าง ๆ อีกทั้งยังมีฝีมือในการช่างเป็นเลิศ ด้วยความเพียบพร้อมเหล่านี้ จึงมีผู้ขับเพลงสรรเสริญคุณสมบัติต่าง ๆ ของนาง สมเด็จพระร่วงเจ้าได้ทรงสดับเพลง จึงโปรดให้นางเข้ารับราชการเป็นบาทบริจาริกา ทำให้นางได้มีโอกาสแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยการประดิษฐ์ โคมรูปดอกกระมุทหรือกระทงที่ใช้ลอยตามประเพณีถึงทุกวันนี้ ปัญญา ความสามารถ และคุณความดีของนางได้ช่วยให้นางก้าวเข้าสู่ตำแหน่งท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือตำแหน่งพระสนมเอกโดยปราศจากอุปสรรคใด ๆ อีกทั้งยังได้แต่งชีวประวัติของนางไว้ในรูป ตำรา อันรวบรวมความรู้ต่าง ๆ ไว้อีกด้วย

หากพิจารณาเรื่องราวดังกล่าวในกรอบของ นิยายเราจะพบว่าความที่ชีวิตของนางนพมาศมีความสุขสบายและปราศจากอุปสรรค ตั้งแต่แรกเกิดจนได้เป็นพระสนมนั้น ทำให้เรื่องราวของนางดำเนินเรื่องคล้ายกับชีวประวัติบุคคลสำคัญหรือตำนานเล่าชีวิตของผู้มีบุญตามความเชื่อของสังคมไทย นอกจากนี้ตามท้องเรื่องนางยังได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งพระสนมเอกคือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ปรากฏจริงในกฎมณเฑียรบาล)โดยพระกรุณาของ สมเด็จพระร่วงเจ้าซึ่งก็เป็นที่เชื่อกันว่ามีจริงในประวัติศาสตร์ ทำให้ลักษณะของเรื่องราวชีวิตนางนพมาศแตกต่างไปจากความเป็น นิยายที่ปรากฏสืบต่อกันมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ซึ่งมักจะมีลักษณะเด่นคือ  เป็นเรื่องที่เสนอว่าสมมุติทั้งเรื่อง ตัวละครเอกมีชีวิตผันผวนประสบอุปสรรคความทุกข์ยากต่าง ๆกว่าเรื่องจะจบลงด้วยดี นอกจากนี้เรื่องของนางนพมาศยังแต่งเป็นร้อยแก้ว ขณะที่นิยายโดยทั่วไปจะแต่งเป็นร้อยกรองดังนั้น ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ใน แง่ที่เป็นนิยายนี้ จึงมีลักษณะเป็น นิยายแบบใหม่ที่ค่อนมาทางตัวบทประเภทที่ใช้ถ่ายทอดเรื่องจริงมากทีเดียว

วิธีเล่าเรื่องของนางนพมาศ
นางนพมาศในฐานะที่เป็นผู้เล่าเรื่องใช้คำสรรพนามบุรุษที่หนึ่งแทนตัวด้วยคำว่า ข้าน้อย  ซึ่งเป็นการแสดงตัวตนของผู้เล่าเรื่อง ทำให้มีจิตสำนึกของปัจเจกบุคคลเป็นศูนย์กลางของการรับรู้และเข้าใจเรื่อง นอกจากนี้การที่ให้ผู้เล่าเรื่องใช้คำสรรพนามบุรุษที่หนึ่งเรียกแทนตัว ทำให้ลักษณะของเรื่องนี้แตกต่างไปจาก นิยายซึ่งไม่ปรากฏผู้เล่าเรื่อง แต่ไปคล้ายกับบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์และเป็นการยืนยันของบุคคลผู้เล่าเรื่อง เช่น บันทึกของโกษาปาน และ  พระราชปุจฉาของสมเด็จพระเพทราชาดำรัสถามสมเด็จพระโฆษาจารย์ ซึ่งมีการใช้คำสรรพนามว่า อัตโน และ ข้าพระเจ้า อาจกล่าวได้ว่าคำสรรพนามบุรุษที่หนึ่งมีบทบาทแสดงความเป็นประจักษ์พยานของผู้เล่าเรื่องต่อเหตุการณ์ที่เล่า
ผู้เล่าเรื่องได้พยายามจำกัดมุมมองของการเล่าให้อยู่ในกรอบของตัวละครนางนพมาศ (ซึ่งก็คืออดีตของผู้เล่าเรื่อง) แต่เพียงผู้เดียว ดังที่นางได้อ้างเมื่อจะกล่าวถึงพระราชพิธีต่าง ๆ ว่า อันว่าข้าน้อยกล่าวการพระราชพิธีสิบสองเดือนเป็นแต่สังเขปมิได้พิสดาร ด้วยเหตุว่าได้เห็นบ้าง มิได้เห็นบ้าง จำได้บ้าง จำมิได้บ้าง (.๑๔๙) ข้อความในทำนองนี้ปรากฏให้เห็นบ่อย ๆ ในท้องเรื่องเสมือนจะเป็นการประกันว่าเรื่องราวทั้งหมดที่อยู่ในตัวบทไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของนางในราชสำนักขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ หรือแม้แต่ความรู้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์โลกและจักรวาลล้วนแล้วแต่นำเสนอผ่านสายตา การรับรู้ความนึกคิด และการตีความของปราชญ์สตรีนางหนึ่ง การตอกย้ำความสำคัญของจิตสำนึกแบบปัจเจกบุคคลของผู้เล่าเรื่องเช่นนี้ นับเป็นความแปลกใหม่ที่ยังไม่เคยพบในวรรณคดีไทยก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ความเป็นปัจเจกชนของนางนพมาศก็มิได้ถูกนำเสนอว่าขัดแย้งแตกต่างหรือตัดขาดจากโลกทัศน์ร่วมของกลุ่มคนที่สร้างและเสพวรรณกรรมเรื่องนี้แต่อย่างใด (แม้โลกทัศน์ร่วมนี้จะใหม่และผิดแผกไปจากโลกทัศน์เดิมในสมัยอยุธยามิใช่น้อย ดังที่นิธิ เอียวศรีวงศ์ได้เคยวิเคราะห์ไว้แล้ว) จะเห็นได้ว่าเมื่อใดที่นางนพมาศจะต้องแสดงความรู้อันมากมายออกมาให้ผู้อ่านประจักษ์นางมักจะกล่าวอ้างถึงที่มาของความรู้นั้นเช่นอ้างถึง ตำรับไตรเพท และ ตำรับโปราณาจารย์เสมอ ๆ การอ้างอิงเหล่านี้นอกจากจะมีบทบาทเสริมสร้างภาพลักษณ์ความเป็นนักปราชญ์ของนางแล้ว ยังเป็นการแสดงถึงความเป็นผู้สืบทอดความรู้ตามแบบแผน ซึ่งความรู้ดังกล่าวถูกนำเสนอว่ามีมาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยเป็นอย่างน้อย
นอกจากนี้แล้วยังอาจตั้งข้อสังเกตได้อีกว่า จริงอยู่บุญวาสนาและเกียรติยศอันสูงที่นางได้รับส่วนหนึ่งเกิดจากความรู้ความสามารถเชิงปัจเจกของนางเอง แต่ก็ควรคำนึงอยู่ตลอดเวลาด้วยว่า เกียรติคุณดังกล่าวได้มาจากการสร้างความพอพระทัยแก่องค์กษัตริย์ดังที่นางมักจะเล่าว่า เมื่อนางได้ทำความดี สมเด็จพระร่วงเจ้าได้ตรัสชมนางแล้วว่า จึ่งมีพระราชบริหารบำหยัดสาปสรรว่า แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงการกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน ๑๒ พระราชพิธีจองเปรียงแล้วก็ให้กระทำโคมลอยเป็นรูปดอกกระมุท...เหตุดังนี้ข้าน้อยผู้ชื่อว่านพมาศก็ถึงซึ่งมีชื่อเสียงปรากฏอยู่ในแผ่นดินได้อย่างหนึ่ง” (.๙๙-๑๐๐) ในพระราชพิธีคเชนทรัศวสนานสมเด็จพระร่วงเจ้าก็ ทรงประกาศิตสาปสรรว่า แต่นี้สืบไปเบื้องหน้า. อันว่าข้าน้อยคิดกรองร้อยพวงผกาเกสรเป็นรูปพานขันหมากต้องพระราชอัชฌาสัยสมเด็จพระร่วงเจ้า ก็ได้รับพระราชทานสักการะรางวัลเป็นอันมาก แล้วก็ถึงซึ่งชื่อเสียงปรากฏอยู่ในแผ่นดิน” (.๑๑๕) และในพระราชพิธีเข้าพรรษา จึ่งพระบาทสมเด็จพระร่วงเจ้าแผ่นดินมีพระราชบริหารสาปสรรว่า ข้าน้อยนพมาศก็ถึงซึ่งมีชื่อเสียงว่า เป็นความฉลาดปรากฏนามอยู่ในแผ่นดินได้อีกอย่างหนึ่ง” (.๑๓๔-๑๓๕) คำพูดเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ชะตาชีวิตของนางผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับสถาบันสูงสุดของสังคมอย่างแยกกันไม่ออกทีเดียว
หากย้อนกลับมาพิจารณาคำว่า ข้าน้อยซึ่งปรากฏตลอดทั้งเรื่อง จะพบว่าการเลือกใช้สรรพนามนี้ทำให้ผู้อ่านได้ยินเสียงผู้มีกิริยามารยาทอ่อนน้อมถ่อมตน ผู้อ่านจึงยอมรับการแสดงภูมิรู้อย่างมากมายของผู้เล่าเรื่องผู้เปี่ยมด้วยความรู้และความสามารถเหนือกว่าสตรีใดในแผ่นดิน รวมไปถึงยอมรับบทบาทของนางนพมาศที่ยกตนเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้เป็นสนม และยอมรับการกล่าวเสียดสีและตำหนินางสนมอื่น ๆ ด้วยความเปรียบที่รุนแรงได้
วิธีการเล่าเรื่องของนางนพมาศดังที่กล่าวมา มีผลทำให้เรื่องราวชีวิตของนางมีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างเรื่องแต่งในทำนองนิยายกับบันทึกเรื่องราวความเป็นจริง

ตัวบทประเภทอื่นๆ
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ มิได้บรรจุไว้เพียงเรื่องราวชีวิตของนางนพมาศ อันมีลักษณะเชิง นิยายเท่านั้น หากอัตชีวประวัติเรื่องนี้ยังผูกโยงเอาตัวบทที่ตามปรกติแล้วถือเป็นข้อเขียนที่จัดอยู่ในประเภทอื่น ๆ มาร้อยรัดไว้ด้วยกัน ได้แก่ ส่วนที่ใช้ขนบการเลียนแบบตำรา (เช่น ตอนที่ว่าด้วยชาติและภาษาต่าง ๆ การบรรยายกรุงสุโขทัย พระราชพิธีต่าง ๆ) ส่วนที่เป็นนิทานซึ่งนางนพมาศเล่าเปรียบเทียบ และส่วนที่เป็นการวิจารณ์นางในราชสำนัก ซึ่งใช้ขนบของงานเขียนเสียดสีประชดประชัน
การใช้กรอบของอัตชีวประวัติสมมุติ หรือเรื่องราวของนางนพมาศเป็นตัวผูกโยงตัวบทประเภทอื่น ๆ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า สัมพันธบท” (intertextuality) กล่าวคือ มีตัวบทหลักทำหน้าที่ควบคุมความหมายของตัวบทอื่น ๆ ที่นำมากล่าวอ้าง เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพของงานนั้น จึงกล่าวได้ว่า ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ มีลักษณะนวัตกรรมอีกประการหนึ่งอยู่ที่ เป็น วรรณกรรมประสมประสานโดยเริ่มจากชีวประวัติบุคคลไปสู่ข้อมูลความรู้และการวิพากษ์วิจารณ์ ลักษณะเช่นนี้มีผลทำให้ขอบเขตของความเป็นเรื่องสมมุติกับเรื่องไม่สมมุติใกล้เคียงกันจนแบ่งออกจากกันได้ยาก
                การอุบัติของรูปแบบอัตชีวประวัติสมมุติในยุคสมัยรัตนโกสินทร์ แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเชิงมนุษยทัศน์ที่มีต่อตัวบทวรรณกรรม ว่าเป็นเครื่องมือในการจารึกชื่อเสียงเกียรติคุณของปัจเจกบุคคล (แม้สมมุติ) ไว้ได้ชั่วกัลปาวสาน แต่ก็ต้องไม่ลืมเช่นกันว่าปัจเจกบุคคลดังกล่าว ก็มิได้เป็นอะไรมากไปกว่าตัวแทนบุคคลในอุดมคติตามค่านิยมของสังคมในสมัยนั้น