การใช้ความเปรียบแตกต่างจากขนบวรรณกรรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์
ความเปรียบที่ปรากฏในเรื่องนางนพมาศที่นับว่ามีลักษณะเด่น คือความเปรียบแบบ อุปมา ซึ่งมีความน่าสนใจอยู่ที่คำแสดงลักษณะหรือคุณศัพท์ของสิ่งที่เอาไปเปรียบ (อุปไมย) และคำนามที่ผู้แต่งเลือกเอามาเปรียบ (อุปมา) ซึ่งมักจะได้แก่ สัตว์ชั้นต่ำ หรือ สิ่งของบางอย่างที่ไม่น่าจะเปรียบกันได้ตามขนบ เช่นในข้อความว่า “บางคนงามคมงามขำงามชาติงามตระกูลแต่ประพฤติเหมือนรากดิน ตนก็อาศัยแผ่นดิน มันก็ต้องเลื้อยไปเลื้อยมาอยู่ในแผ่นดินนั้นเอง”
ความเปรียบอุปมานี้ ใช้คำคุณศัพท์ที่แสดงความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วยคำว่า “งามคมงามขำงามชาติงามตระกูล” กับคำว่า “เลื้อยไปเลื้อยมา” นับเป็นวิธีการบริภาษที่รุนแรงและแหลมคม รวมทั้งมีความงามทางภาษาในการเล่นคำและซ้ำคำว่า รากดิน และ แผ่นดิน หรือการเปรียบกับปูลม ในข้อความว่า “เพลาเฝ้ารับราชกิจ พอเป็นกิริยาบุญบ้างเล็กน้อยไม่นั่งนานตะหลิบแล่นเร็วเหมือนปูลมชมกันว่าดี” ความเปรียบนี้ นำเอาปูลมที่เป็นสัตว์ชั้นต่ำมาเป็นอุปมา ซึ่งให้จินตภาพที่ประกอบคำว่า “ตะหลิบแล่นเร็ว” ได้อย่างชัดเจนและแฝงด้วยน้ำเสียงประชดประชันเสียดสีเช่นเดียวกับที่เปรียบกิริยา “ริแรแชเชือน” ว่าเป็น “เช่นตั๊กแตนแล่นไปแล่นมา” และเปรียบลักษณะการทำงานของนางสนมบางคนที่ทำบ้างไม่ทำบ้าง “เป็นหมู่วับ ๆ แวม ๆ เหมือนแมลงหิ่งห้อย”
นอกจากจะใช้ความเปรียบกิริยาที่ไม่งามกับสัตว์ชั้นต่ำแล้ว ยังเปรียบกับสิ่งแปลก ๆ อีกด้วยเช่น “ประพฤติตนเหมือนด้วยปอมข่างไว้จริตกิริยาสูงส่ง” “ทำจิตใจเงื่อยโคลงประดุจขอนไม้” “ที่เล็กนั้นประมาณเท่าผลสะบ้าวานร” และ “หมู่นกอันธพาลสันดานสิ้นคิด แต่ละตัวมีลูกตาเหมือนด้วยนกฮูกนกเค้า และเหมือนด้วยนัยน์ตาหุ่นยนตร์คนเขาชักไขว่ขวัก”
ความเปรียบที่ต่างจากขนบวรรณกรรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์ทั่วไปเหล่านี้ มักปรากฏในตอนที่ประชดประชันเสียดสีนางสนมที่มีกิริยาและความประพฤติไม่งาม ความเปรียบจึงเป็นเครื่องมือโดยตรงของการเสียดสีและบริภาษ ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของผู้แต่งจึงได้ให้ผู้เล่าเรื่องคัดสรรสิ่งที่จะมาเปรียบให้ไม่ซ้ำกับวรรณกรรมเรื่องอื่น ตัวอย่างเด่นที่แสดงถึงความช่างคิดและการเลือกสรรถ้อยคำมาบริภาษตอนหนึ่ง คือ ตอนที่กล่าวถึงนางนกไส้ว่าชอบกิน “ดอกเต่าร้าง ยางบัวใบยาว และเกสรดอกสามหาว” ทำให้นางมีนิสัย “คันปากอยากพูดพล่อยอยู่เป็นนิจ” หรือกล่าวเสียดสีนางนกบางตัวว่ามีความประพฤติ “ทำร่างกายจริตกิริยาเหมือนด้วยนกตัวผู้และมีเหนียงแห้ง” อุปมานี้ทำให้เกิดจินตภาพได้อย่างชัดเจนทีเดียว
สรุป : นวัตกรรมทางวรรณคดีใน ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
จากที่ได้วิเคราะห์มาทั้งหมด คงเห็นได้ว่า ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นวรรณกรรมที่มีลักษณะแปลกใหม่ที่น่าสนใจหลายประการเมื่อเปรียบเทียบกับวรรณกรรมเรื่องอื่น ๆ ในยุคสมัยเดียวกัน ที่เห็นชัดที่สุดคือลักษณะของตัวบทที่เรียกได้ว่าเป็น เอกสารพันทาง คือ ประกอบด้วยส่วนที่เป็นตำราให้ความรู้เกี่ยวกับชาติพันธุ์และภาษา รวมทั้งความรู้เรื่องพระราชพิธีต่าง ๆ มีส่วนที่เป็นนิยายหรือเรื่องสมมุติ ซึ่งเป็นประวัติและความสามารถของนางนพมาศ และส่วนที่เป็นการวิจารณ์นางสนม ทั้งหมดนี้มีส่วนที่เป็นนิยายทำหน้าที่ควบคุมเนื้อหาให้ร้อยรัดเป็นเรื่องเดียวกันด้วยการสร้างตัวละครและฉาก แต่การนำเสนอด้วยร้อยแก้วก็มีผลกลบเกลื่อนลักษณะนิยายไว้มิให้ปรากฏชัด เพราะตามขนบวรรณคดีสมัยนั้นนิยายจะนำเสนอด้วยร้อยกรอง ส่วนร้อยแก้วใช้กับข้อเขียนที่ถือเป็นเรื่องจริงจัง
อย่างไรก็ตาม ยังมีลักษณะล้อเลียนแทรกอยู่ในตัวบทที่แลดูจริงจัง ซึ่งมีผลทำให้ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ต่างไปจากวรรณกรรมประเภทล้อเลียนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยเดียวกัน ซึ่งมักจะมีลักษณะล้อเลียนตลอดทั้งเรื่อง และประกาศอย่างโจ่งแจ้งตั้งแต่ต้นว่าเป็นวรรณกรรมล้อเลียน นอกจากนี้ ในตัวบทยังประกอบด้วยส่วนที่เป็นนิทาน ใช้วิธีการเล่าตามขนบของการเล่าเรื่องซ้อนเรื่อง นิทานเหล่านี้ทำหน้าที่บอกล่วงหน้าโดยนัย ถึงส่วนที่เป็นการวิจารณ์นางสนมซึ่งปรากฏในตอนท้ายของเรื่องและเป็นการแสดงเชาวน์ปัญญาของตัวละครเอกที่ยกนิทานเป็นอุทาหรณ์ในการสั่งสอนและอวดภูมิรู้
หนังสือเรื่อง ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ นี้ได้สร้างตัวละครเอกหญิงที่นับว่าโดดเด่นกว่าตัวละครหญิงอื่นใดในวรรณคดีต้นรัตนโกสินทร์ นางนพมาศเป็นตัวละครที่สมบูรณ์แบบตามอุดมคตินิยม แต่มีการดำเนินชีวิตที่สมจริงนางได้ใช้ความรู้และปัญญารวมทั้งความสามารถในการประดิษฐ์ จนได้รับการยกย่องต่อสาธารณชนและได้รับการจารึกสืบต่อมาให้เป็นประเพณีปฏิบัติของชนรุ่นหลัง นางยังเป็นนางเอกที่มีบทบาทเป็นผู้กระทำด้วยการตั้งปณิธานและผลักดันตนเองให้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จเท่าที่หญิงสามัญชนจะได้รับอย่างปราศจากอุปสรรคใด ๆ ในชีวิต
ในส่วนของกลวิธีการเล่าเรื่องนั้น หนังสือเรื่องนี้มีวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ คือ เริ่มเล่าจากเรื่องในอดีตที่ไกลโพ้น ขอบเขตของเรื่องเล่ากว้างใหญ่ไพศาล ทำให้มีลักษณะคล้ายเอกสารโบราณ ที่มักเริ่มต้นเล่าเรื่องตั้งแต่การกำเนิดโลก ประกอบกับมีการอ้างถึงจุลศักราชที่นิยมใช้ในเอกสารสมัยอยุธยา จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีการอำพรางทั้งยุคสมัยในท้องเรื่องและยุคสมัยที่แต่งได้อย่างแยบยล สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของการเล่าเรื่อง ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ คือ การใช้คำสรรพนามบุรุษที่หนึ่งของตัวละครเอกหญิง การเรียกตนเองว่า “ข้าน้อย” นั้น นับว่าแปลกและแตกต่างจากตัวละครตัวอื่น ตรงที่คำนี้แฝงน้ำเสียงของการอ่อนน้อมถ่อมตัวในขณะที่เล่าเรื่องราวคุณความดีของตนเอง เพื่อให้สตรียึดถือเป็นต้นแบบความประพฤติของกุลสตรีที่ดีพร้อม
การใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งเล่าเรื่องของตนเองนี้ ปัจจุบันเรียกว่าการเขียนอัตชีวประวัติ และด้วยเหตุที่นางนพมาศมีฐานะเป็นตัวละครสมมุติ ทำให้หนังสือเรื่องนี้มีลักษณะการประพันธ์แบบอัตชีวประวัติสมมุติ (fictional autobiography) เรื่องแรกของไทย อัตชีวประวัติสมมุติ คือ งานประพันธ์ประเภทนิยายที่กำหนดให้ตัวละครเอกนำเอาประวัติชีวิตของตนเองมาเล่า ตัวละครนั้นจึงทำหน้าที่เป็นผู้เล่าเรื่องไปด้วย การใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของงานประพันธ์ประเภทนี้ และเป็นกลวิธีที่โน้มน้าวใจให้ผู้อ่านรู้สึกเสมือนว่าเรื่องเล่าเป็นเรื่องจริงได้โดยง่าย การประพันธ์ในรูปแบบนี้นับว่าเป็นงานเขียนในลักษณะที่ใหม่มาก เมื่อเทียบกับขนบทางวรรณกรรมในยุคสมัยเดียวกัน ในกรณี ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ กลวิธีนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวละครเอกหญิง (รวมทั้งฉากแห่งอดีตและรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ) มีความเหมือนจริงเหมือนจังน่าเชื่อถือ ทำให้ “นางนพมาศ” ตรึงอยู่ในความเชื่อของ คนไทยว่ามีตัวจริงในสมัยสุโขทัยและมีผลทำให้จัดหนังสือเรื่องนี้เป็นวรรณคดีสมัยสุโขทัยในประวัติวรรณคดีไทยมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว
การใช้กรอบรูปแบบอัตชีวประวัติสมมุตินี้ แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเชิงมนุษยทัศน์ ที่มีต่อตัวบทวรรณกรรมว่าเป็นเครื่องมือในการจารึกชื่อเสียงเกียรติคุณของปัจเจกบุคคลไว้ได้ชั่วกัลปาวสาน ในตัวบท ตัวละครนางนพมาศเคยกล่าวเมื่อเล่านิทานเรื่องที่จบลงว่า “แลนิทานนกกระต้อยตีวิดซึ่งข้าน้อยบรรยายนี้ ไม่ควรถือเช่นเอาเป็นอย่าง ถ้ามนุษยชาติหญิงชายจำพวกใด ประพฤติน้ำจิตเป็นพาลสันดานโลเลแล่นไปแล่นมาเช่นนางนกกระต้อยตีวิดตัวนั้นแล้ว ชี่อชั่วก็จะปรากฏเป็นนิยายอยู่สิ้นกัลปาวสาน” (๕๖)
ในทำนองเดียวกันนี้เอง อาจกล่าวได้ว่าผู้แต่งก็ได้สร้างตัวละครเอกหญิงให้เป็นแบบอย่างดีเลิศเพื่อให้ปรากฏเป็น “นิยาย” อยู่สิ้นกัลปาวสานเช่นกัน นับว่าผู้แต่งได้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการจารึกชื่อนางเอกของนิยายเรื่องหนึ่งไว้ให้เป็นหญิงอัจฉริยะผู้คิดประดิษฐ์กระทงในความเชื่อของมหาชนตลอดมาจนถึงปัจจุบัน