วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์

ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ : อัตชีวประวัติสมมุติเรื่องแรกของไทย

ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น (จากรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๓) นับได้ว่าเป็นยุคแห่งนวัตกรรมทางวรรณคดีที่คึกคักที่สุดยุคหนึ่งในประวัติวรรณคดีไทย
หากมองย้อนกลับไปอย่างพินิจพิเคราะห์ การเสียกรุงศรีอยุธยาแม้จะสร้างความเสียหายอย่างมากมายต่อชนชาติไทย แต่ขณะเดียวกันก็มีผลในทางบวก เพราะว่าได้กระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกและภูมิปัญญาใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเมือง สังคม และศิลปวัฒนธรรม
ในทางวรรณคดีนั้น ความคึกคักเกิดจากกระแสอันหลากหลายที่ปรากฏในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ในด้านหนึ่งมีความพยายามที่จะสร้างความสืบเนื่องกับอารยธรรมของกรุงศรีอยุธยา ด้วยการนำเอาวรรณคดีอยุธยาที่สูญหายหรือเสียหายไปเมื่อครั้งเสียกรุงฯ มาสร้างขึ้นใหม่ เช่น เรื่อง  รามเกียรติ์ อิเหนา และบทละครหลายเรื่อง ฯลฯ ในอีกด้านหนึ่งยังมีการรับเอาวรรณกรรมจากต่างชาติต่างภาษาเข้ามาในรูปของการแปล เช่น สามก๊ก ราชาธิราช ฯลฯ ซึ่งเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ นอกเหนือจากนั้นแล้ววรรณกรรมที่กำเนิดขึ้นในยุคนี้โดยเฉพาะก็นำเสนอลักษณะที่แปลกใหม่หลายประการ อันเป็นผลจากการสะดุดของขนบเดิม และจิตสำนึกที่เปลี่ยนแปลงไปไม่มากก็น้อย
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า นางนพมาศ นั้น นับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศทางวรรณกรรมอันคึกคักดังกล่าว ความน่าสนใจของหนังสือเรื่องนี้อยู่ที่กลวิธีการเล่าเรื่องซึ่งไม่เคยปรากฏใน วรรณคดีไทยเรื่องใดมาก่อน นั่นคือรูปแบบที่ทางวรรณกรรมสากลเรียกกันในปัจจุบันว่า อัตชีวประวัติสมมุติ อีกทั้งวรรณคดีเรื่องนี้ยังแปลกพิเศษตรงที่นำเอาประเภท (genre) ของวรรณกรรมหลายแบบมารวมกันไว้ในกรอบของอัตชีวประวัติสมมุตินี้อีกด้วย
อัตชีวประวัติสมมุติ (fictional autobiography) เป็นงานประพันธ์ชนิดหนึ่งที่จัดเป็นบุคคลสมมุตินำเรื่องราวของตนเอง (ซึ่งก็เป็นเรื่องราวสมมุติเช่นกัน) มาเล่าให้ผู้อ่านได้รับทราบ ในกรณีของตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์นี้ ก็คือตัวละครนางนพมาศนำเอาประสบการณ์ของตนเองจากปฐมวัยจนถึงช่วงที่บรรลุจุดสูงสุดในชีวิตมาเล่า ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นแบบอย่างแก่ชนรุ่นหลัง  อย่างไรก็ตามอัตชีวประวัติสมมุติก็มิใช่อัตชีวประวัติจริง ดังเช่นเรื่อง ฟื้นความหลัง ของพระยาอนุมานราชธน หรือ ชีวิตเหมือนฝัน ของคุณหญิงมณี สิริวรสาร เพราะในงานที่เอ่ยชื่อมาเหล่านี้ มีข้อตกลงกันว่า เป็นการถ่ายทอดชีวิตจริงที่อาจยืนยันได้โดยผู้แต่งหรือคนอื่น ๆ แต่งานที่เรียกกันว่าอัตชีวประวัติสมมุตินั้น แม้อาจจะมีเค้าจากชีวิตจริงของผู้แต่งอยู่ไม่มากก็น้อย เช่น นวนิยายเรื่อง ละครแห่งชีวิต ของม..อากาศดำเกิง รพีพัฒน์ แต่เรื่องราวที่เล่านั้นก็มิได้ถือว่าเกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม รูปแบบการเล่าเรื่องโดยใช้บุรุษที่หนึ่งก็มักมีผลชักจูงให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกลวงว่าเป็นเรื่องจริงได้มากกว่าการเล่าโดยใช้บุรุษที่สาม
ในเรื่อง ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์นี้ ได้มีนักวิชาการจำนวนมากถกเถียงกันเกี่ยวกับยุคสมัยที่แต่ง จนขณะนี้ได้ข้อยุติในระดับหนึ่งแล้ว กล่าวคือ จากเดิมที่เคยหลงเชื่อกันว่าหนังสือดังกล่าวแต่งในสมัยสุโขทัย บัดนี้ทราบกันแล้วว่าแต่งขึ้นในยุคต้นรัตนโกสินทร์ (ดูนิธิ เอียวศรีวงศ์, “โลกของนางนพมาศ, ๒๕๒๒ หรือสุพจน์ แจ้งเร็ว, “นางนพมาศ เรื่องจริงหรืออิงนิยาย, ๒๕๒๖ เป็นต้น) บทความนี้จะไม่พิจารณาประเด็นดังกล่าว แต่จะมุ่งวิเคราะห์ตัวบทวรรณกรรม โดยเน้นที่เทคนิคการเล่าเรื่อง และการบูรณาการประเภทวรรณกรรมต่าง ๆ ไว้ในกรอบของอัตชีวประวัติสมมุติ

เนื้อเรื่องของตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
นางนพมาศ เป็นบุตรีของพราหมณ์ผู้สูงศักดิ์และมีชีวิตอยู่ในสมัยสุโขทัย นางเพียบพร้อมด้วยความงามและปัญญาเป็นสตรีที่ได้รับการศึกษา อบรมถึงขั้นสูงสุด จึงทรงภูมิความรู้ในเรื่องต่าง ๆ อีกทั้งยังมีฝีมือในการช่างเป็นเลิศ ด้วยความเพียบพร้อมเหล่านี้ จึงมีผู้ขับเพลงสรรเสริญคุณสมบัติต่าง ๆ ของนาง สมเด็จพระร่วงเจ้าได้ทรงสดับเพลง จึงโปรดให้นางเข้ารับราชการเป็นบาทบริจาริกา ทำให้นางได้มีโอกาสแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยการประดิษฐ์ โคมรูปดอกกระมุทหรือกระทงที่ใช้ลอยตามประเพณีถึงทุกวันนี้ ปัญญา ความสามารถ และคุณความดีของนางได้ช่วยให้นางก้าวเข้าสู่ตำแหน่งท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือตำแหน่งพระสนมเอกโดยปราศจากอุปสรรคใด ๆ อีกทั้งยังได้แต่งชีวประวัติของนางไว้ในรูป ตำรา อันรวบรวมความรู้ต่าง ๆ ไว้อีกด้วย

หากพิจารณาเรื่องราวดังกล่าวในกรอบของ นิยายเราจะพบว่าความที่ชีวิตของนางนพมาศมีความสุขสบายและปราศจากอุปสรรค ตั้งแต่แรกเกิดจนได้เป็นพระสนมนั้น ทำให้เรื่องราวของนางดำเนินเรื่องคล้ายกับชีวประวัติบุคคลสำคัญหรือตำนานเล่าชีวิตของผู้มีบุญตามความเชื่อของสังคมไทย นอกจากนี้ตามท้องเรื่องนางยังได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งพระสนมเอกคือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ปรากฏจริงในกฎมณเฑียรบาล)โดยพระกรุณาของ สมเด็จพระร่วงเจ้าซึ่งก็เป็นที่เชื่อกันว่ามีจริงในประวัติศาสตร์ ทำให้ลักษณะของเรื่องราวชีวิตนางนพมาศแตกต่างไปจากความเป็น นิยายที่ปรากฏสืบต่อกันมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ซึ่งมักจะมีลักษณะเด่นคือ  เป็นเรื่องที่เสนอว่าสมมุติทั้งเรื่อง ตัวละครเอกมีชีวิตผันผวนประสบอุปสรรคความทุกข์ยากต่าง ๆกว่าเรื่องจะจบลงด้วยดี นอกจากนี้เรื่องของนางนพมาศยังแต่งเป็นร้อยแก้ว ขณะที่นิยายโดยทั่วไปจะแต่งเป็นร้อยกรองดังนั้น ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ใน แง่ที่เป็นนิยายนี้ จึงมีลักษณะเป็น นิยายแบบใหม่ที่ค่อนมาทางตัวบทประเภทที่ใช้ถ่ายทอดเรื่องจริงมากทีเดียว

วิธีเล่าเรื่องของนางนพมาศ
นางนพมาศในฐานะที่เป็นผู้เล่าเรื่องใช้คำสรรพนามบุรุษที่หนึ่งแทนตัวด้วยคำว่า ข้าน้อย  ซึ่งเป็นการแสดงตัวตนของผู้เล่าเรื่อง ทำให้มีจิตสำนึกของปัจเจกบุคคลเป็นศูนย์กลางของการรับรู้และเข้าใจเรื่อง นอกจากนี้การที่ให้ผู้เล่าเรื่องใช้คำสรรพนามบุรุษที่หนึ่งเรียกแทนตัว ทำให้ลักษณะของเรื่องนี้แตกต่างไปจาก นิยายซึ่งไม่ปรากฏผู้เล่าเรื่อง แต่ไปคล้ายกับบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์และเป็นการยืนยันของบุคคลผู้เล่าเรื่อง เช่น บันทึกของโกษาปาน และ  พระราชปุจฉาของสมเด็จพระเพทราชาดำรัสถามสมเด็จพระโฆษาจารย์ ซึ่งมีการใช้คำสรรพนามว่า อัตโน และ ข้าพระเจ้า อาจกล่าวได้ว่าคำสรรพนามบุรุษที่หนึ่งมีบทบาทแสดงความเป็นประจักษ์พยานของผู้เล่าเรื่องต่อเหตุการณ์ที่เล่า
ผู้เล่าเรื่องได้พยายามจำกัดมุมมองของการเล่าให้อยู่ในกรอบของตัวละครนางนพมาศ (ซึ่งก็คืออดีตของผู้เล่าเรื่อง) แต่เพียงผู้เดียว ดังที่นางได้อ้างเมื่อจะกล่าวถึงพระราชพิธีต่าง ๆ ว่า อันว่าข้าน้อยกล่าวการพระราชพิธีสิบสองเดือนเป็นแต่สังเขปมิได้พิสดาร ด้วยเหตุว่าได้เห็นบ้าง มิได้เห็นบ้าง จำได้บ้าง จำมิได้บ้าง (.๑๔๙) ข้อความในทำนองนี้ปรากฏให้เห็นบ่อย ๆ ในท้องเรื่องเสมือนจะเป็นการประกันว่าเรื่องราวทั้งหมดที่อยู่ในตัวบทไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของนางในราชสำนักขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ หรือแม้แต่ความรู้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์โลกและจักรวาลล้วนแล้วแต่นำเสนอผ่านสายตา การรับรู้ความนึกคิด และการตีความของปราชญ์สตรีนางหนึ่ง การตอกย้ำความสำคัญของจิตสำนึกแบบปัจเจกบุคคลของผู้เล่าเรื่องเช่นนี้ นับเป็นความแปลกใหม่ที่ยังไม่เคยพบในวรรณคดีไทยก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ความเป็นปัจเจกชนของนางนพมาศก็มิได้ถูกนำเสนอว่าขัดแย้งแตกต่างหรือตัดขาดจากโลกทัศน์ร่วมของกลุ่มคนที่สร้างและเสพวรรณกรรมเรื่องนี้แต่อย่างใด (แม้โลกทัศน์ร่วมนี้จะใหม่และผิดแผกไปจากโลกทัศน์เดิมในสมัยอยุธยามิใช่น้อย ดังที่นิธิ เอียวศรีวงศ์ได้เคยวิเคราะห์ไว้แล้ว) จะเห็นได้ว่าเมื่อใดที่นางนพมาศจะต้องแสดงความรู้อันมากมายออกมาให้ผู้อ่านประจักษ์นางมักจะกล่าวอ้างถึงที่มาของความรู้นั้นเช่นอ้างถึง ตำรับไตรเพท และ ตำรับโปราณาจารย์เสมอ ๆ การอ้างอิงเหล่านี้นอกจากจะมีบทบาทเสริมสร้างภาพลักษณ์ความเป็นนักปราชญ์ของนางแล้ว ยังเป็นการแสดงถึงความเป็นผู้สืบทอดความรู้ตามแบบแผน ซึ่งความรู้ดังกล่าวถูกนำเสนอว่ามีมาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยเป็นอย่างน้อย
นอกจากนี้แล้วยังอาจตั้งข้อสังเกตได้อีกว่า จริงอยู่บุญวาสนาและเกียรติยศอันสูงที่นางได้รับส่วนหนึ่งเกิดจากความรู้ความสามารถเชิงปัจเจกของนางเอง แต่ก็ควรคำนึงอยู่ตลอดเวลาด้วยว่า เกียรติคุณดังกล่าวได้มาจากการสร้างความพอพระทัยแก่องค์กษัตริย์ดังที่นางมักจะเล่าว่า เมื่อนางได้ทำความดี สมเด็จพระร่วงเจ้าได้ตรัสชมนางแล้วว่า จึ่งมีพระราชบริหารบำหยัดสาปสรรว่า แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงการกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน ๑๒ พระราชพิธีจองเปรียงแล้วก็ให้กระทำโคมลอยเป็นรูปดอกกระมุท...เหตุดังนี้ข้าน้อยผู้ชื่อว่านพมาศก็ถึงซึ่งมีชื่อเสียงปรากฏอยู่ในแผ่นดินได้อย่างหนึ่ง” (.๙๙-๑๐๐) ในพระราชพิธีคเชนทรัศวสนานสมเด็จพระร่วงเจ้าก็ ทรงประกาศิตสาปสรรว่า แต่นี้สืบไปเบื้องหน้า. อันว่าข้าน้อยคิดกรองร้อยพวงผกาเกสรเป็นรูปพานขันหมากต้องพระราชอัชฌาสัยสมเด็จพระร่วงเจ้า ก็ได้รับพระราชทานสักการะรางวัลเป็นอันมาก แล้วก็ถึงซึ่งชื่อเสียงปรากฏอยู่ในแผ่นดิน” (.๑๑๕) และในพระราชพิธีเข้าพรรษา จึ่งพระบาทสมเด็จพระร่วงเจ้าแผ่นดินมีพระราชบริหารสาปสรรว่า ข้าน้อยนพมาศก็ถึงซึ่งมีชื่อเสียงว่า เป็นความฉลาดปรากฏนามอยู่ในแผ่นดินได้อีกอย่างหนึ่ง” (.๑๓๔-๑๓๕) คำพูดเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ชะตาชีวิตของนางผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับสถาบันสูงสุดของสังคมอย่างแยกกันไม่ออกทีเดียว
หากย้อนกลับมาพิจารณาคำว่า ข้าน้อยซึ่งปรากฏตลอดทั้งเรื่อง จะพบว่าการเลือกใช้สรรพนามนี้ทำให้ผู้อ่านได้ยินเสียงผู้มีกิริยามารยาทอ่อนน้อมถ่อมตน ผู้อ่านจึงยอมรับการแสดงภูมิรู้อย่างมากมายของผู้เล่าเรื่องผู้เปี่ยมด้วยความรู้และความสามารถเหนือกว่าสตรีใดในแผ่นดิน รวมไปถึงยอมรับบทบาทของนางนพมาศที่ยกตนเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้เป็นสนม และยอมรับการกล่าวเสียดสีและตำหนินางสนมอื่น ๆ ด้วยความเปรียบที่รุนแรงได้
วิธีการเล่าเรื่องของนางนพมาศดังที่กล่าวมา มีผลทำให้เรื่องราวชีวิตของนางมีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างเรื่องแต่งในทำนองนิยายกับบันทึกเรื่องราวความเป็นจริง

ตัวบทประเภทอื่นๆ
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ มิได้บรรจุไว้เพียงเรื่องราวชีวิตของนางนพมาศ อันมีลักษณะเชิง นิยายเท่านั้น หากอัตชีวประวัติเรื่องนี้ยังผูกโยงเอาตัวบทที่ตามปรกติแล้วถือเป็นข้อเขียนที่จัดอยู่ในประเภทอื่น ๆ มาร้อยรัดไว้ด้วยกัน ได้แก่ ส่วนที่ใช้ขนบการเลียนแบบตำรา (เช่น ตอนที่ว่าด้วยชาติและภาษาต่าง ๆ การบรรยายกรุงสุโขทัย พระราชพิธีต่าง ๆ) ส่วนที่เป็นนิทานซึ่งนางนพมาศเล่าเปรียบเทียบ และส่วนที่เป็นการวิจารณ์นางในราชสำนัก ซึ่งใช้ขนบของงานเขียนเสียดสีประชดประชัน
การใช้กรอบของอัตชีวประวัติสมมุติ หรือเรื่องราวของนางนพมาศเป็นตัวผูกโยงตัวบทประเภทอื่น ๆ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า สัมพันธบท” (intertextuality) กล่าวคือ มีตัวบทหลักทำหน้าที่ควบคุมความหมายของตัวบทอื่น ๆ ที่นำมากล่าวอ้าง เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพของงานนั้น จึงกล่าวได้ว่า ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ มีลักษณะนวัตกรรมอีกประการหนึ่งอยู่ที่ เป็น วรรณกรรมประสมประสานโดยเริ่มจากชีวประวัติบุคคลไปสู่ข้อมูลความรู้และการวิพากษ์วิจารณ์ ลักษณะเช่นนี้มีผลทำให้ขอบเขตของความเป็นเรื่องสมมุติกับเรื่องไม่สมมุติใกล้เคียงกันจนแบ่งออกจากกันได้ยาก
                การอุบัติของรูปแบบอัตชีวประวัติสมมุติในยุคสมัยรัตนโกสินทร์ แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเชิงมนุษยทัศน์ที่มีต่อตัวบทวรรณกรรม ว่าเป็นเครื่องมือในการจารึกชื่อเสียงเกียรติคุณของปัจเจกบุคคล (แม้สมมุติ) ไว้ได้ชั่วกัลปาวสาน แต่ก็ต้องไม่ลืมเช่นกันว่าปัจเจกบุคคลดังกล่าว ก็มิได้เป็นอะไรมากไปกว่าตัวแทนบุคคลในอุดมคติตามค่านิยมของสังคมในสมัยนั้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น