นางนพมาศ : ตัวละครที่เน้นเรื่อง “การศึกษาและปัญญา”
นางนพมาศเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นโดยให้ความสำคัญแก่เรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก ผู้แต่งได้ให้รายละเอียดว่า นางมิได้ถูกเลี้ยงอย่างเด็กธรรมดาทั่วไป การเล่นสมัยเด็กคือ “สอนให้เล่นแต่ร้อยกรอง วาดเขียน และชวนพูดเป็นกลบทกลกลอนเจือด้วยคำสุภาษิตทุกวันคืน”(๓๔) เมื่อเจริญวัยก็เรียนหนังสือตามเกณฑ์อายุ คือ ๗ ขวบเช่นเดียวกับเด็กชนชั้นนำที่เริ่มเรียนอักขรวิธีภาษาไทยตั้งแต่อายุ ๗ ขวบจนถึง ๑๑ ขวบ ปรากฏหลักฐานว่า บุตรขุนนางที่เกิดในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวคนหนึ่ง คือ พระยาสโมสรสรรพการ ได้เขียนเล่าประวัติการศึกษาไว้ว่า เมื่อเป็นเด็กได้เข้าไปเรียนหนังสือกับป้าในพระบรมมหาราชวังเมื่ออายุ ๘ ปีเศษ โตเกินกว่าที่จะเข้าไปอาศัยในพระราชวังฝ่ายใน จึงออกมาเรียนต่อที่บ้านกับบิดา๒๐
นางนพมาศนับว่าเป็นตัวละครหญิงที่เริ่มการศึกษาตามรูปแบบพร้อมกับบุตรหลานของชนชั้นนำในเวลานั้น แต่เนื้อหาของที่นางได้ศึกษาขณะที่มีอายุ ๗ ขวบ ไม่ใช่ ปฐม ก กาหัดอ่าน เหมือนเด็กทั่วไป นางได้ศึกษาอักษรสยามพากย์ อักษรสันสกฤต ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เป็นวิชาที่ยากเกินกว่าเด็กอายุ ๗ ขวบจะเรียนได้ แต่นางก็เรียนได้อย่าง “ชำนิชำนาญ”
วิชาความรู้ที่นางได้ศึกษานั้น อาจแจกแจงออกเป็นวิชาที่เกี่ยวกับอักษรสยามพากย์ อักษรสันสกฤต ซึ่งจัดเป็นความรู้ขั้นพื้นฐาน วิชาขั้นที่สูงขึ้นคือ การแต่งกลบทกลกลอน เรียนพระพุทธวจนะ หลังจากนั้นก็เรียนขั้นสูงสุด คือ คัมภีร์ไตรเพท และตำรับโหราศาสตร์ นางจึงเป็นกุลธิดาที่ได้รับความรู้อย่างดีทั้งทางศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์
อาจกล่าวได้ว่า วิชาความรู้ที่นางนพมาศได้รับนั้นน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของความรู้ที่พระราชกุมารได้เล่าเรียนกันในเวลานั้น ดังที่ปรากฏในหลักฐานการศึกษาเล่าเรียนของ “วชิรญาณภิกษุ” (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระองค์ได้ทรงศึกษาวิชาต่าง ๆ ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชโอรสของพระมหากษัตริย์ ทรงได้รับการศึกษาอักขรวิธีในสำนักพระพุทธโฆษาจารย์ (บุน) วัดโมฬีโลกยาราม ทรงศึกษาพระพุทธวจนะและ “คดีโลกคดีธรรม” ในสำนักกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ตลอดจนวิชาเฉพาะทั้งมวลสำหรับพระราชกุมาร เช่น ทรงศึกษาวิชากรรมศาสตร์ อัศวศาสตร์ และยุทธพิชัยสงคราม จากสำนักเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด) เมื่อเสด็จออกผนวชใน พ.ศ. ๒๓๖๗ ก็ได้ทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ ปรัชญา ประวัติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ๒๑
ในวรรณกรรมร่วมสมัยเรื่องหนึ่งคือ เพลงยาวถวายโอวาทของสุนทรภู่๒๒ ได้กล่าวถึงวิชาความรู้ที่สุนทรภู่สั่งสอนลูกศิษย์สองพระองค์ คือ เจ้าฟ้ากลางกับเจ้าฟ้าปิ๋ว ให้หมั่นเรียนรู้วิชา ดังนี้
อุตส่าห์เรียนเขียนอ่านบุราณราช ไสยศาสตร์สงครามตามประสงค์
ลำดับศักดิ์จักรพรรดิขัตติย์วงศ์ อุตส่าห์ทรงจดจำให้ชำนาญ
ด้วยพระองค์ทรงสยมบรมนาถ บังคับราชการสิ้นทุกถิ่นฐาน
กรมศักดิ์หลักชัยพระอัยการ มนเทียรบาลพระบัญญัติตัดสำนวน
เมื่อพิจารณาการศึกษาของ “วชิรญาณภิกษุ” และเจ้าฟ้าสองพระองค์นี้ จะเห็นว่ามีวิชาเฉพาะสำหรับพระราชกุมาร คือ วิชาการสงคราม และกฏหลักอัยการ ซึ่งวิชาเหล่านี้นางนพมาศไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน แต่นางก็ได้เรียนบางวิชาที่จัดว่าเป็นของ “พ่อเรือน” ดังที่นางได้แจกแจงไว้ตอนต้นเรื่องว่า
...หมู่มนุษย์ก็ประกอบไปด้วยสติปัญญาโดยมาก ต่างร่ำเรียนสรรพวิชาต่าง ๆ ฝ่ายทหารก็เรียนรู้ศิลปศาสตร์เพลงอาวุธ คือ วิชาช้างม้า กระบี่กระบอง โล่ดั้ง ดาบสั้น ดาบยาว กริช กั้นหยั่น โตมรศรกำซาบปืนไฟใหญ่น้อย มวยปล้ำ ตำรับพิชัยยุทธ์ เวทมนตร์ คงกระพันชำนิชำนาญเป็นอันดี บรรดาพวกพ่อเรือนก็ต่างเล่าเรียนคัมภีร์ไตรเพทไตรวิชา คือ กลบทกลกลอน ทำนุกทำเนียบอักขระ อักษร ครุลหุสูตรกรณฑ์ สูตรฉวางค์ ตำรับโหราศาสตร์ทักษาพยากรณ์ สมผุสอินทพาษบาทจันทร์สารำ อาจรู้จักรราศีดาราฤกษ์นพเคราะห์ สุริยคราสจันทรคราสโดยพิสดาร... (๑๓)
หากเราจะเปรียบเทียบการศึกษาของนางนพมาศกับเจ้านายพระองค์หญิง ก็อาจจะพิจารณาจากที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายถึงการทรงอักขรวิธีของพระองค์เจ้าหญิงว่า “หัดเขียนหนังสือแลัวเรียนอักษรศาสตร์ถึงชั้นแต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอน... ถ้าเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยชอบเรียนเลขหรือความรู้เรื่องพงศาวดารก็เริ่มเรียนในตอนนี้ เจ้านายชั้นพระธิดาทรงศึกษาประเภทนี้เป็นพื้น จึงมักเป็นพระอาจารินีฝึกสอนคนชั้นหลัง ๆ ต่อ ๆ กันมา”๒๓
เจ้านายพระองค์หญิงไม่อาจจะเรียนคัมภีร์ไตรเพทได้ เนื่องจากเป็นวิชาของ “พ่อเรือน” อีกทั้งใช้ผู้สืบทอดตระกูลพราหมณ์ ดังนั้นด้วยเหตุที่เป็นลูกพราหมณ์ ทำให้นางนพมาศได้เรียนรู้สืบทอดตามสายตระกูลด้วย การศึกษาที่นางนพมาศได้รับนั้น จึงนับว่าแตกต่างจากเด็กหญิงทั่ว ๆ ไปไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงในราชตระกูลหรือเด็กหญิงสามัญชน๒๔
อาจกล่าวได้ว่านางนพมาศเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นให้เป็นผู้นำในเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน ประกอบกับนางถูกจัดวางให้เป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ จึงใช้เวลาเรียนเพียง ๘ ปีก็สำเร็จ ปัญญาของนางนพมาศจัดว่าเป็นความฉลาดที่เกิดจากการศึกษาเล่าเรียน และการคิดจะนำความรู้ที่มีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ความฉลาดของนางอาจมาจาก “การสั่งสมกองการกุศลมาแต่อดีตชาติ” ซึ่งอาจเรียกว่าเป็น “พรสวรรค์” ทำให้นางเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์ทุกประการ ทั้งวิชาการช่าง ความคิดอ่าน การแต่งกลกลอน และการมีมธุรสวาจา รวมทั้งการตั้งปณิธานที่สูงส่งแตกต่างจากผู้คนทั่วไป นางจึงมิใช่คนฉลาดประเภทรู้จักใช้ไหวพริบเพื่อเอาตัวรอด หรือการ “เล่น” กับสำนวนภาษาเพื่อให้ตนได้ผลประโยชน์ เช่น “ศรีธนญชัย” แต่เป็นการใช้ปัญญาผสานกับความรู้และฝีมือการช่าง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างผลงานอันจะนำไปสู่ชื่อเสียงเกียรติยศที่ปรารถนา ดังที่นางตั้งใจประดิษฐ์โคมดอกกระมุท ทำพวงดอกไม้รูปพานขันหมากและทำพนมดอกไม้ทองและกอปทุมชาติ เพื่อให้เป็น “แบบอย่างไปได้ในแผ่นดินชั่วกัลปาวสาน” (๑๕๙)
การแสดงถึงความเป็นผู้มีปัญญาของนางนพมาศนั้น ปรากฏให้เห็นอยู่หลายตอน นางได้แสดงปัญญาในหมู่เครือญาติตอนที่พระศรีมโหสถทดสอบปัญญา นางได้ตอบคำถามและเล่านิทานเปรียบเทียบ และได้แสดงปัญญาในที่มหาสมาคมถึง ๓ ครั้ง ในการคิดค้นและประดิษฐ์งานฝีมือดอกไม้ให้เป็นที่ประจักษ์เป็นโคมดอกกระมุทและเป็นพานขันหมาก และที่สำคัญที่สุดคือการแต่งกลอนถวายสมเด็จพระร่วงเจ้า เป็นการแสดงปัญญาที่สื่อถึงความฉลาดลึกซึ้งของนาง ในบทกลอนนั้น นอกจากจะชมความงามของงานพระราชพิธีแล้ว นางยังได้แสดงเมตตาจิตต่อนางสนมกำนัลอื่น ๆ ด้วยการทูลขอโอกาสให้นางสนมเหล่านั้นได้มาชมความงามของพระราชพิธีด้วย ซึ่งทำให้นางสนมกำนัลต่างซาบซึ้งในน้ำใจของนางนพมาศ นางนพมาศจึงไม่มีผู้ปองร้ายหรืออิจฉาริษยาเพราะนางได้สกัดกั้นไว้ล่วงหน้าเช่นนั้นแล้ว อย่างไรก็ตาม การแสดงปัญญาของนางแต่ละครั้ง ได้แสดงถึงความคิดที่สอดคล้องกันว่า สตรีมีหน้าที่ปรนนิบัติต่อบุรุษผู้เป็นเจ้าของและผู้มีพระคุณซึ่งเป็นหน้าที่ที่พึงกระทำอย่างสม่ำเสมอ นางนพมาศแสดงให้ว่า การจะเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมควรแก่การสรรเสริญนั้น ต้องเป็นผู้ไม่บกพร่องด้านการบ้านการเรือน พร้อมทั้งมีจริตกิริยาเป็นที่รักใคร่แก่ผู้พบเห็น ต้องมีคุณธรรม และกุลสตรีที่ปรารถนาจะเป็นแบบอย่างต่อชนรุ่นหลังได้นั้น ยังต้องฝากฝีมือในเชิงประดิษฐ์สิ่งแปลกใหม่ให้เป็นที่ปรากฏแก่ชนทั้งหลายอีกด้วย
นางนพมาศไม่ได้แสดงปัญญาในการคิดค้นให้ “งามประหลาด” แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังได้แสดงฝีมือการช่าง คือ “แกะรูปมยุราคณานกวิหคหงส์ประดับ” (๙๙) อีกด้วย เช่นเดียวกับฝีมือตกแต่งดอกไม้ให้เป็นรูปพานสองชั้น กลายเป็นพานขันหมาก และทำพนมดอกไม้ทองและกอโกสุมปทุมทอง เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงสักการะบูชาพระรัตนตรัยและเทวรูป
ปัญญาของนางที่ได้แสดงให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน ล้วนแต่เป็นการคิดค้นที่ไม่เคยมีผู้ใดประดิษฐ์มาก่อนในทางการฝีมือ นางจึงเป็น “สตรีนักปราชญ์ฉลาดในวิชาช่าง” (๑๕๐) ซึ่งก็คือ งานฝีมือการแกะสลักและจัดดอกไม้ อันเป็นวิชาที่สังคมสงวนไว้ให้เป็นวิชาของสตรีในค่านิยมของสังคมไทยเวลานั้น๒๕ นางจึงเป็นตัวละครที่ดำเนินชีวิตไปตามครรลองที่สังคมกำหนดหน้าที่ที่แยกกันระหว่างสตรีกับบุรุษอย่างค่อนข้างชัดเจน และนางก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งการแสวงหาชื่อเสียงที่ไม่ก้าวล่วงไปในหน้าที่ของบุรุษ หรือคิดแข่งเพื่อความทัดเทียมกัน เช่น การปกครองบ้านเมือง และการรบแบบนางละเวงวัณฬาในเรื่องพระอภัยมณี ตรงกันข้าม การแสดงความเชี่ยวชาญของนางนั้น เป็นการตอกย้ำความคิดที่ว่าหน้าที่ที่เหมาะสมของสตรี คือ การปรนนิบัติและรับใช้ชาติบ้านเมืองในวิชาการช่าง มิใช่การรบทัพจับศึกหรือการปกครองซึ่งเป็นหน้าที่ของบุรุษ นางจึงได้รับการยกย่องในฐานะกุลสตรีผู้เป็นแบบอย่าง ดังที่นางกล่าวว่า “ก็เห็นว่าควรท่านทั้งหลายผู้ได้นามชื่อว่า พระสนมกำนัล จะพึงประพฤติตามเยี่ยงข้าน้อยนี้บ้างในอนาคตเบื้องหน้า” (๑๕๐)
ในส่วนของการแสดงปัญญาด้วยการเล่านิทานเปรียบเทียบทั้งสามเรื่องนั้น นางนพมาศได้ชี้ให้เห็นว่า ถ้าผู้เป็นสตรีละเลยต่อหน้าที่ที่พึงปฎิบัติตามที่กล่าวมา ความระส่ำระสายและความเดือดร้อนย่อมมาเยือน ดังที่ปรากฏในนิทานเรื่องนางนกกระต้อยตีวิดโลเล นางช้างแสนงอน และนางนกกระเรียนคบนางนกไส้ช่างยุ
นิทานทั้งสามเรื่องนี้ เป็นเรื่องเล่าขนาดเล็กที่ซ้อนอยู่ในเรื่องเล่าขนาดใหญ่ มีเนื้อหาสาระที่สอดคล้องไปในทำนองเดียวกันกับโครงเรื่องใหญ่ คือ เรื่องของนางนพมาศ (ซึ่งปรารถนาจะเป็นบาทบริจาริกาและได้มีโอกาสปรนนิบัติพระเจ้าแผ่นดิน) แต่ก็แสดงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับหญิงที่ขาดคุณสมบัติอย่างที่ตัวนางมี กล่าวคือโครงเรื่องของนิทานว่าด้วยความบกพร่องในการปรนนิบัติ
ผู้เป็นจ่าฝูงหรือเป็นผู้มีพระคุณ นิทานเหล่านี้นอกจากจะมีความสำคัญคือเป็นเครื่องมือแสดงปัญญาของนางนพมาศแล้ว ยังเป็นหนทางให้นางนพมาศได้กล่าวถึงความประพฤติที่นางไม่อาจว่ากล่าวได้ตรง ๆ หรือจัดการลงโทษผู้ใดได้ในชีวิตจริง นางจึงให้ตัวละครรุกขเทวดา นางช้างอากาศจรี และราชปุโรหิต เป็นผู้ว่ากล่าวสั่งสอนและจัดการลงโทษผู้ที่ละเลยฝ่าฝืนข้อวัตรปฏิบัติที่เคยประพฤติดีมาก่อน
ถ้าพิจารณานิทานทั้งสามเรื่องนี้ ในแนวทางการศึกษาโครงสร้างของพรอพพ์ (Propp)๒๖ จะเห็นว่า นิทานทั้งสามเรื่องมีโครงสร้างแบบเดียวกัน คือ (๑) ตัวเอกทำความดี - สังคมปกติสุข (๒) ตัวเอกละเลยข้อปฏิบัติ - สังคมแปรปรวน (๓) ตัวเอกได้รับการสั่งสอนและถูกลงโทษ - สังคมปกติสุขดังเดิม
นางนพมาศเล่านิทานเหล่านี้ ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงภาระหน้าที่ของสตรีที่มีต่อบุรุษ โดยชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมเช่นใดที่สตรีไม่พึงกระทำต่อบุรุษ และแสดงผลของกระทำที่ไม่ดีนั้นให้ปรากฏ ทั้งส่วนรวมและส่วนตน ส่วนรวมนั้นได้แก่ การสูญเสียที่อยู่อาศัยของกลุ่มนกกระต้อยตีวิดในเรื่องนางนกกระต้อยตีวิดโลเล และเมืองวัฒนานครถึงกับกาลวิบัติในเรื่องนางนกกระเรียนคบนางนกไส้ช่างยุ และในส่วนตนนั้นนางนกต้อยตีวิดถูกลูกน้องดุด่าว่าเป็นต้นเหตุให้เกิดความวิบัติ และการถูกลงโทษอย่างหนักทั้งนกไส้และนกกระเรียน คือถูกขับไล่ออกจากเมือง นิทานเรื่องที่นับว่ามีเนื้อหาแตกต่างไปจากเรื่องอื่นคือเรื่องนางช้างแสนงอน ที่นอกจากจะชี้ให้เห็นพฤติกรรมที่ไม่ควรกระทำของนางช้างและแสดงผลของการกระทำนั้นคือ ต้องออกจากหมู่ช้างไปและยังถูกเยาะเย้ยถากถางให้ได้รับความอับอายอีกด้วย ตัวละครที่เยาะเย้ยคือนางช้างอากาศจรี ซึ่งเป็นผู้สั่งสอนนางช้างแสนงอนทั้งสองเชือก และฉวยโอกาสซ้ำเติมให้นางช้างทั้งสองเจ็บใจยิ่งขึ้นอีก
จะเห็นว่านิทานทำหน้าที่บอกล่วงหน้า (anticipate) โดยนัยถึงส่วนที่จะเป็นการวิจารณ์ความประพฤติของเหล่านางสนมในราชสำนักโดยตรง อันเป็นตอนจบของตัวบทใหญ่นั่นเอง นอกจากนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวละครเอก นิทานทั้งสามเรื่องยังแสดงถึงเชาวน์ปัญญาอันแยบคายของนางนพมาศซึ่งตอบคำถามของบิดา ซึ่งถามนางว่า
ดูก่อนนางนพมาศ อันสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเสวยสิริราชสมบัติบริบูรณ์ ด้วยบาทบริจาริก มีพระอัครมเหสีก็สองพระองค์ พระสนมกำนัลนางบำเรอก็มีเป็นอันมาก ล้วนแต่ทรงลักษณะรูปสิริวิลาส เป็นที่จำเริญพระหฤทัย ตัวเจ้ายังจะประพฤติในราชกิจให้ทรงพระเมตตาแก่ตัวได้หรือมิได้เป็นดังฤา (๔๖)
ส่วนในแง่ของวิธีการเล่าเรื่องในนิทานทั้งสามนั้น จะพิจารณาในตอนที่ว่าด้วยนางนพมาศในฐานะ “ผู้เล่าเรื่อง” ในช่วงต่อไป
จะเห็นได้ว่า การใช้ปัญญาของนางนพมาศเป็นไปในแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของกุลสตรีโดยเฉพาะเรื่องการบ้านการเรือน ขณะเดียวกันก็มีผลทาง “การเมือง” ด้วย คือการไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของบุรุษ และปฏิบัติงานของตนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมในการแบ่งสรรบทบาทของชายและหญิงในยุคนั้นอย่างชัดเจน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น