นางนพมาศ หรือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ นับว่าเป็นวรรณกรรมที่มีอิทธิพลต่อสังคมและวัฒนธรรมไทยในปัจจุบัน เพราะมีส่วนกำหนดประเพณีลอยกระทงขึ้นจากการที่เชื่อกันว่านางนพมาศได้ประดิษฐ์กระทงรูปดอกบัวลอยบูชาพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทาในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง และยังมีการประกวดนางนพมาศเป็นส่วนหนึ่งในประเพณีนี้อีกด้วย
เท่าที่ผ่านมานักวิชาการส่วนใหญ่ให้ความสนใจ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ในแง่ของประวัติวรรณคดีเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องยุคสมัยที่แต่ง ผู้แต่ง และจุดมุ่งหมายของการแต่ง จนมาถึงการศึกษาวิเคราะห์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์๑ ซึ่งอาจถือว่าเป็นนักวิชาการท่านแรกที่ให้ความสำคัญแก่ “ตัวบท” โดยชี้ให้เห็นถึงลักษณะของความเป็น “นิยาย” ในวรรณกรรมเรื่องนี้ แต่ความสนใจของนิธิ ก็มุ่งไปที่เนื้อหาของบทพรรณนาว่าด้วย โลกภูมิ ชาติพันธุ์ และภาษา อันเป็นตอนต้นของเรื่อง และอยู่ในส่วนของตัวบทที่เข้าข่ายเป็น “ตำรา” มิใช่ส่วนที่เป็น “นิยาย” โดยตรง
บทความนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะวิเคราะห์ตัวบทส่วนที่ถือได้ว่าเป็น “นิยาย” แท้ ๆ ใน ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ อย่างละเอียด เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของนางนพมาศในฐานะตัวละครและผู้เล่าเรื่อง โดยจะใช้วิธีการวิเคราะห์ในแนวที่เรียกว่า “ศาสตร์ว่าด้วยเรื่องเล่า” (narratology) อันจะนำไปสู่ข้อพิจารณาถึงความแปลกใหม่ของหนังสือเล่มนี้ในยุคต้นรัตนโกสินทร์
สถานะแห่งความรู้เกี่ยวกับ “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์”
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นหนังสือที่มีปัญหาอย่างน้อยสามประการ ปัญหาประการแรกเกี่ยวกับสมัยที่แต่ง ด้วยเนื้อเรื่องที่ดำเนินในสมัยสุโขทัย อ้างถึง “สมเด็จพระร่วงเจ้า” ทำให้แต่เดิมเชื่อกันว่า เป็นหนังสือที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย กรมศิลปากรจึงได้พิมพ์รวมไว้ในหนังสือ วรรณกรรมสุโขทัย เช่นเดียวกับ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ไตรภูมิกถา และสุภาษิตพระร่วง
อย่างไรก็ตาม สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงวินิจฉัยไว้ในการพิมพ์ครั้งแรก (พ.ศ. ๒๔๕๗) แล้วว่า “เป็นหนังสือที่แต่งในครั้งกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง แต่งในระหว่างรัชกาลที่ ๒ กับที่ ๓ ไม่ก่อนนั้นขึ้นไป”๒ ต่อมาในบทความเรื่อง “โลกของนางนพมาศ ” นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการสาขาประวัติศาสตร์ได้ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลที่ปรากฏในเรื่อง โดยเปรียบเทียบกับเอกสารประวัติศาสตร์ และพิจารณาสำนวนภาษาแล้วสรุปว่า “เห็นได้ชัดว่าเขียนขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ น่าจะเขียนขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๐ ถึงสิ้นรัชกาลที่ ๓ โดยประมาณ”๓ มีผู้สนับสนุนความคิดของนิธิ เอียวศรีวงศ์ หลายท่าน ได้แก่ สุจิตต์ วงษ์เทศ๔ และสุพจน์ แจ้งเร็ว๕
ปัญหาประการที่สองเกี่ยวเนื่องกับผู้แต่งและจุดประสงค์ของการแต่ง ซึ่งยังไม่เป็นข้อยุติ แต่ก็เป็นที่ยอมรับในหมู่นักวิชาการวงวรรณกรรมแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีส่วนพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ด้วย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า “อาจจะเป็นตอนนางนพมาศเจรจากับบิดามารดาเมื่อก่อนจะเข้าไปรับราชการ”๖ และศักดิ์ศรี แย้มนัดดาเคยกล่าวว่า ตอนที่ว่าด้วยขนบธรรมเนียมนางสนมก็น่าจะเป็นพระราชนิพนธ์ด้วยเช่นกัน (สัมภาษณ์) อย่างไรก็ตามหนังสือเรื่องนี้ยังมีตอนที่ว่าด้วยชาติพันธุ์ภาษาต่าง ๆ ประวัตินางนพมาศ และพระราชพิธีสิบสองเดือน โดยเฉพาะพิธีของพราหมณ์ซึ่งเป็นพิธีเก่า ส่วนเหล่านี้ไม่อาจระบุผู้แต่งได้ หนังสือเรื่องนี้จึงน่าจะมีผู้แต่งมากกว่าหนึ่งคน๗ และอาจจะต่างสมัยกันก็เป็นได้
ดูเหมือนว่าผู้แต่งจะมีจุดประสงค์ที่จะรวบรวมพระราชพิธีต่าง ๆ เข้า ด้วยกัน โดยเฉพาะพิธีของพราหมณ์ ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า “หนังสือเรื่องนี้ของเดิมเขาจะมีจริง เพราะลักษณะพิธีของพราหมณ์ที่กล่าวไว้ในหนังสือเรื่องนี้ โดยมากเป็นตำราพิธีจริงและเป็นพิธีอย่างเก่า อาจจะใช้เป็นแบบแผนก่อนครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ใดจะมาคิดปลอมขึ้นใหม่ได้ทั้งหมด”๘ ส่วนสุพจน์ แจ้งเร็วได้เสนอว่า หนังสือนี้น่าจะแต่งขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายที่จะให้คำสั่งสอนทางความคิด ความเชื่อ ความประพฤติแก่เหล่านางสนมในราชสำนักเป็นสำคัญ๙ กล่าวได้ว่าจุดประสงค์ในการแต่งเรื่องนี้จึงยังไม่อาจหาข้อสรุปที่ชัดเจน
ปัญหาประการสุดท้าย การจัดประเภทของเอกสาร ซึ่งยังคงประสบปัญหาว่าจะจัดเป็นวรรณกรรมในความหมายของเรื่องสมมุติ (fiction) ได้หรือไม่ ในประวัติวรรณคดีไทยได้จัดให้หนังสือเรื่องนี้ มีความสำคัญเป็นตำรา ว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีและศิลปะการช่างสตรี อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้หนังสือเรื่องนี้เป็นหลักฐานในการทรงพระราชนิพนธ์ พระราชพิธีสิบสองเดือน๑๐ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า “หนังสือเรื่องนี้เดิมเป็นตำราการพระราชพิธีประจำเดือนทั้ง ๙ นอกพรรษา”๑๑ และรื่นฤทัย สัจจพันธุ์ได้จัดไว้ในหมวดวรรณกรรมคำสอน๑๒ หนังสือเรื่องนี้จึงถูกจัดเป็น “ตำรา” เกี่ยวกับคำสอน ขนบธรรมเนียมและพระราชพิธีมาโดยตลอด
นิธิ เอียวศรีวงศ์ได้พิจารณาหนังสือเรื่องนี้ในด้านวรรณกรรม และตั้งข้อสังเกตได้ว่า “ภาษาในหนังสือเรื่องนี้เป็นความเรียงหรือร้อยแก้วที่แตกต่างจากเรื่องอื่น คือ ไม่ใช่เรื่องที่ผูกพันอยู่กับศาสนาและราชการ” อีกทั้งไม่ใช่เรื่องของ “ต่างด้าว” แต่เป็นวรรณกรรมที่มี “นิยาย” อยู่ และได้กล่าวเป็นเชิงสรุปว่า “ถ้าถือว่าเรื่องนางนพมาศเป็นวรรณกรรมเชิง “นิยาย” ก็จะเป็นเรื่องแรกที่ใช้ภาษาความเรียงเขียนโดยไม่ได้แปลมาจากภาษาอื่น”๑๓ อาจกล่าวได้ว่าหนังสือเรื่องนี้มีปัญหาด้านการจัดประเภท เพราะมีบางส่วนจัดอยู่ในข่ายของ “ตำรา” แต่มีบางส่วนจัดว่าเป็น “นิยาย” ในความหมายที่เป็นเรื่องสมมุติ ตัวบทหนังสือเล่มนี้จึงมีลักษณะพิเศษที่ไม่เคยปรากฏในหนังสือเล่มใดมาก่อน จึงสมควรที่จะพิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียดในลำดับต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น