ลักษณะของตัวบทตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
เมื่อพิจารณาเนื้อหาและลีลาของหนังสือเรื่องนี้ จะเห็นว่า ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ที่มีลักษณะของเนื้อหาและวิธีการนำเสนอแตกต่างกัน จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นตัวบทคนละประเภทกัน ประเภทของตัวบทที่พบในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ แบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ ๑.ส่วนที่เป็น “ตำรา” ได้แก่ ส่วนที่มีเนื้อหาลีลาเป็นการให้ข้อมูลความรู้ และมีการแจกแจงอย่างละเอียด ๒.ส่วนที่เป็น “นิยาย” ได้แก่ เนื้อหาลีลาที่มีลักษณะเป็นเรื่องเล่า (narrative) คือ มีโครงเรื่อง มีการดำเนินเรื่อง มีตัวละคร และฉาก (สถานที่, เวลา) และ ๓.ส่วนที่เป็น “การวิจารณ์นางในราชสำนัก” ได้แก่ เนื้อหาที่ใช้ถ้อยคำประชดประชันเสียดสีหญิงประเภทต่าง ๆ ที่เป็นนางสนม ตัวบทแต่ละส่วนของเรื่อง ล้วนมีตัวละครนางนพมาศเป็นแกนร้อยรัด ดังที่สุพจน์ แจ้งเร็วเคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “เธอ (นางนพมาศ) เป็นตัวดำเนินเรื่องนี้ เป็นศูนย์กลางของเนื้อหาทั้งหมดที่ประกอบกันขึ้นเป็นหนังสือเรื่องนี้”๑๔ ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ส่วนที่เป็น “นิยาย” นับเป็นส่วนสำคัญที่สุด เพราะส่วนที่มีนางนพมาศเป็นตัวละครเอกและเป็นผู้เล่าเรื่องทำหน้าที่ควบคุมเนื้อหาส่วนอื่น ๆ ให้กลายเป็นองค์ประกอบของเรื่องเล่าไปด้วย เนื้อหาส่วนต่าง ๆ ที่ปรากฏ อาจแจกแจงเป็นแผนผังได้ ดังนี้
ส่วนที่เป็นตำรา
ก. ตั้งแต่ “ว่าด้วยชาติและภาษาต่าง ๆ” ถึง “ว่าด้วยพระราชจรรยาของพระร่วงเจ้า”
(เป็นส่วนแสดงความรู้และทัศนะของนางนพมาศ)
ง. ตั้งแต่ “ว่าด้วยพิธีจองเปรียง” ถึง “ว่าด้วยความประพฤติแห่งนางสนม”
|
ส่วนที่เป็นนิยาย
ข. ตั้งแต่ “ประวัตินางนพมาศก่อนเป็นพระสนม” ถึง “นางเรวดีนำนางนพมาศเข้าถวายตัว” (แสดงประวัติของนางนพมาศ)
ค. นิทานเรื่อง “นางนกกระต้อยตีวิดโลเล” “นางช้างแสนงอน” และ “นางกระเรียนคบนางนกไส้ช่างยุ” (แทรกอยู่ในประวัติของนางนพมาศ)
|
ส่วนที่เป็น “การวิจารณ์นางในราชสำนัก”
จ. “ว่าด้วยประพฤติแห่งนางสนม”
(แสดงทัศนะของนางนพมาศ)
|
(ลำดับ ก.ข.ค.ง.จ. แสดงลำดับที่ปรากฏในตัวบท)
จากการศึกษาประวัติวรรณคดีไทย อาจกล่าวได้ว่าในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๙๔) นิยมแต่งหนังสือที่เป็นเรื่องสมมุติ (fiction) ด้วยคำประพันธ์ร้อยกรอง และใช้คำประพันธ์ร้อยแก้วในการแต่งเรื่องที่มีเนื้อหาจัดได้ ๓ กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มแรกเป็นเรื่องที่รวบรวมและชำระจากเอกสารที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ กฏหมายและพระราชกำหนดบทอัยการต่าง ๆ พระราชพงศาวดารและเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา เช่น ไตรภูมิโลกวินิจฉัยรัตนพิมพวงศ์ มหาวงศ์ และไตรเพท กลุ่มที่สอง เป็นเรื่องที่แปลจากวรรณกรรมต่างประเทศ ได้แก่ สามก๊ก ไซ่ฮั่น ราชาธิราช และ นิทานอิหร่านราชธรรม และกลุ่มที่ ๓ ได้แก่ ตำรา เช่น ตำรายา และบันทึก เช่น จดหมายเหตุ พระราโชวาท พระราชกระแสรับสั่ง พระราชปุจฉา และพระราชปรารภต่าง ๆ การใช้รูปแบบการประพันธ์ด้วยภาษาร้อยกรองจึงอิงอยู่กับเนื้อหาที่ถือว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องที่เชื่อว่าเป็นจริง
ถ้าไม่คำนึงถึงหนังสือที่แปลจากวรรณกรรมต่างประเทศ อาจกล่าวได้ว่าเรื่องที่เป็นนิยายจะมีขนบของการแต่งดังนี้ คือ แต่งด้วยภาษาร้อยกรอง มีองค์ประกอบของเรื่องเล่า ได้แก่ เนื้อเรื่อง โครงเรื่อง มีความผันผวนของเหตุการณ์ ฉาก และตัวละคร นอกจากนี้ยังแสดงจุดหมายในการแต่งว่าเพื่อความเพลิดเพลิน ดังเช่นในตอนท้ายของบทละครเรื่อง รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑
อันพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ ทรงเพียรตามเรื่องนิยายไสย
ใช่จะเป็นแก่นสารสิ่งใด ตั้งพระทัยสมโภชบูชา
ใครฟังอย่าได้ใหลหลง จงปลงอนิจจังสังขาร์
หนังสือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ มีตัวละคร และฉาก ซึ่งถูกนำเสนอให้เชื่อกันว่ามีจริง แต่ก็มีโครงเรื่องเช่นเดียวกับนิยาย แม้ว่าเป็น “โครงเรื่องที่ราบเรียบ”๑๕ ไม่มีเหตุการณ์ทำให้ตัวละครผันผวน และในส่วนของเนื้อเรื่องยังประกอบด้วย พระราชพิธีและขนบธรรมเนียมว่าด้วยความประพฤติของนางสนมในราชสำนัก ทำให้ไม่อาจระบุจุดหมายของผู้แต่งให้ชัดเจนได้ อีกทั้งการแต่งด้วยคำประพันธ์ร้อยแก้วและการใช้คำว่า “ตำรับ” ในชื่อเรื่อง ทำให้เข้าใจได้ว่าหนังสือเรื่องนี้คล้ายตำรา แต่ก็ไม่ใช่การเรียบเรียงแบบคัมภีร์ทางศาสนาเช่น ไตรภูมิกถา หรือแบบเรื่องเล่าสืบต่อกันมา และเชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริง เช่น ตำนานและพงศาวดาร จึงอาจกล่าวได้ว่า หนังสือเรื่องนี้มีลักษณะเป็น เอกสารพันทาง คือ มีส่วนที่เป็นความรู้ ตัวละครมีตำแหน่งเป็นนางพระสนม (ตำแหน่งจริงในประวัติศาสตร์) และใช้ฉากที่นำเสนอว่าเป็นเช่นนั้นจริงในสมัยสุโขทัย จึงทำให้มีผู้เชื่อว่า นางนพมาศเป็นนางพระสนมที่มีตัวตนจริง๑๖
อันที่จริง สาเหตุที่ทำให้มีผู้เชื่อว่านางนพมาศมีตัวตนจริงนั้นมีหลายประการ ประการหนึ่งได้แก่ การกล่าวถึงตัวละครที่มีตำแหน่งเป็นพระสนมเอก “ท้าวศรีจุฬาลักษณ์” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีมาตั้งแต่ในสมัยสุโขทัย ดังที่ปรากฏในจารึกวัดอโศการาม พ.ศ. ๑๙๔๒ ว่า “แลดิถีนาที อันโยคยโยคี สมเด็จพระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์ อัครราช(มเหสี)เทพธร(ณีโล)กรัตน....มาทปรวราก็เป็นชายาแด่สมเด็จมหาธรรมราชาธิราช” ในจารึกด้านที่ ๒ มีคำจารึกเป็นภาษาบาลี ความตอนหนึ่งกล่าวถึงพระมเหสี คือ สมเด็จพระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์ แปลได้ว่า “พระมเหสีของพระธรรมราชาพระองค์นั้น....พระราชาเหล่านั้น...มีความงามน่ารัก ทรงประดับเครื่องประดับคือศีลพระนางทรงยินดีในการรักษาศีล ๕ มีปัญญามาก เป็นยอดนารี (อันใหญ่ยิ่ง) มีพระยศใหญ่ยิ่งทรงเลื่อมใสในพระรัตนตรัย”๑๗ ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีปรากฏใน กฏมณเฑียรบาล ว่า ตำแหน่งศรีจุฬาลักษณ์ เป็นตำแหน่งหนึ่งในสี่ของพระสนมเอก ได้แก่ อินทรเทวี อินทรสุเรนทร ศรีสุดาจันทร์ และศรีจุฬาลักษณ์
ในเรื่องนี้ยังได้กล่าวถึง “สมเด็จพระร่วงเจ้า” แห่งอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งเป็นบุคคลที่มีลักษณะกึ่งจริง คือ เป็นวีรบุรุษที่มีตัวตนจริงในความเชื่อของชาวบ้าน และเป็น “ผู้นำทางวัฒนธรรม” (culture hero) ในท้องถิ่นบริเวณสุโขทัย๑๘ ภาพลักษณ์ของสมเด็จพระร่วงเจ้าที่ปรากฏในเรื่องนี้น่าจะสอดคล้องกับความเชื่อของคนในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือแม้แต่ในปัจจุบันก็ยังคงมีความเชื่อเช่นนั้นอยู่
นอกจากนี้ ยังมีการพรรณนาสภาพความเป็นอยู่ที่อุดมสมบูรณ์ของชาวเมืองสุโขทัย ซึ่งเป็นการสร้างฉากที่สอดรับกับความเชื่อที่คนในสมัยรัตนโกสินทร์มีต่ออาณาจักรสุโขทัยว่าเป็นอาณาจักรที่มีความอุดมสมบูรณ์ จึงกล่าวได้ว่า ทั้งตัวละครและฉากที่ปรากฏในเรื่อง ล้วนสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่หนังสือเรื่องนี้เป็นอย่างดี และสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เรื่องนี้แต่งด้วยภาษาร้อยแก้ว ซึ่งในเวลานั้นมีขนบของการใช้ร้อยแก้วในการนำเสนอเรื่องที่เป็นจริงหรือมีลักษณะเป็นความรู้ การที่หนังสือเรื่องนี้แต่งด้วยร้อยแก้วจึงสื่อนัยยะถึงความเป็นเรื่องจริงไปด้วย แต่การที่นางนพมาศจะมีต้นแบบซึ่งมีตัวตนจริงในสมัยรัชกาลที่ ๓ หรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญในการศึกษาครั้งนี้ เพราะในเรื่อง นางนพมาศถูกนำเสนอว่าเป็นคนในสมัยสุโขทัย ดังนั้นนางจึงมีฐานะเป็นเพียงตัวละครในเรื่อง ซึ่งแต่งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น