วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ดาวของคนเกิดปีจอ และดวงปี 2556

ดาว “มงคล” และ “อัปมงคล” ของคนปีจอ
ดาวมงคล “หงหลวน” (นกคู่แห่งรัก) การปรากฏตัวของดาวมงคลดวงนี้ในเรือนชะตาของผู้ใด ถือเป็นนิมิตรหมายอันดีที่บ่งบอกถึงปีแห่งความรักที่หวานชื่นและอาจจะมีงานมงคลที่สุขสมหวังเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

ดาวมงคล “ปั่นอาน” (อานม้า) เมื่อดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ในดวงชะตาของผู้ใด จะส่งผลให้ผู้นั้นสามารถฝ่าฟันเอาชนะอุปสรรคปัญหาต่างๆ ได้ ถ้าหากเขาเหล่านั้นมีความกล้าเพียงพอ และจงจำไว้ว่าเมื่อมีชัยชนะเหนือคู่แข่งแล้ว จงอย่าได้เย่อหยิ่งหลงระเริง ควรที่จะเผื่อแผ่ความเมตตาแก่ผู้อื่นบ้าง

ดาวมงคล “ย่วยเต๋อ” (คุณธรรมพระจันทร์) เมื่อดาวคุณธรรมดวงนี้โคจรมาอยู่ในดวงชะตา ท่านจะสามารถเสริมสร้างพลังความสามารถพิเศษ ซึ่งจะช่วยให้ประสบความสำเร็จเกิดความเจริญก้าวหน้าครั้งสำคัญ แต่เนื่องจากประสิทธิภาพและพลังของดาวคุณธรรมดวงนี้ยังไม่แก่กล้าแรงพอที่สามารถสยบพลังของดาวอัปมงคลจำนวนมากที่มาเกาะกลุ่มชุมนุมอยู่ในเรือนชะตาเดียวกัน จึงไม่สามารถส่งผลดีได้เท่าที่ควร

ดาวอัปมงคล “สื่อฝู” (มนต์ชั่วร้าย) เมื่อดาวร้ายดวงนี้โคจรมาอยู่ในเรือนชะตาของผู้ใดจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่งเกี่ยวกับสุขภาพ และความปลอดภัยต่างๆ จงรักษาเนื้อรักษาตัวอย่าให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บที่รุนแรง ดังนั้นจงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

ดาวอัปมงคล “เสี่ยวห้าว” (ละลายทรัพย์) เมื่อดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ในดวงชะตาของผู้ใด ท่านจะต้องระมัดระวังจัดสรรเรื่องการใช้จ่ายต่างๆ ให้ดีและต้องประมาณตนเองให้ดี ควรจะหลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีความเสี่ยงและห้ามเล่นการพนันต่างๆ เพราะถ้าหากพลาดพลั้งไปจะนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเงินอย่างแน่นอน

ดาวอัปมงคล “กว่าซู่” (ดาวหม้าย) การปรากฏตัวของดาวอัปมงคลนี้ในดวงชะตาของผู้ใดย่อมหมายถึง ลางร้าย ดังนั้นเพื่อรักษามิตรภาพอันดี และได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากผู้คนจะต้องมีความจริงใจเปิดเผยและเป็นมิตรกับทุกๆ คน

ดวงชะตาโดยรวมของผู้ที่เกิดปีจอ 

ท่านที่เกิดปีจอ ปีนี้ดวงชะตาของท่านปรับเปลี่ยนดีขึ้นกว่าปีที่แล้วมาก เริ่มต้นปีศักราชใหม่ อุปสรรคปัญหาและเหตุร้ายต่างๆ ได้คลี่คลายไปจนหมดสิ้น ปี้นี้จึงเป็นโอกาสทองของท่านในการพัฒนาธุรกิจการงานให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น

ปีนี้เนื่องจากมีดาวอานม้า “ปั่นอาน” โคจรเข้ามาเยือน และช่วยเสริมส่งคุ้มครองให้ธุรกิจการงานของท่านแม้จะประสบอุปสรรคยุ่งยาก แต่ขอเพียงให้ท่านมีความมานะอดทนบวกกับความมุ่งมั่นทุ่มเททำงานให้มาก ก็จะได้รับผลตอบแทนกลับมาอย่างคุ้มค่า จนอาจกล่าวได้ว่า ทำมากได้มาก อย่างไรก็ดี ปีนี้นอกจากมีดาวมงคลโคจรเข้ามาช่วยเสริมส่งให้ชาวปีจอมีความเจริญรุ่งเรืองแล้ว ขณะเดียวกันก็มีดาวอัปมงคลแทรกแซงเบียดบังเข้ามารังควานส่งผลเสียเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องระวังเอาไว้บ้าง อย่าประมาทชะล่าใจ

ด้านการงาน ในปีนี้สดใสรุ่งเรือง เนื่องจากมีดาวมงคลคุณธรรมพระจันทร์ “ย่วยเต๋อ” โคจรเข้าส่งเสริมให้ท่านมีความสามารถในการจัดการธุรกิจการงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานให้ประสบความสำเร็จ จึงถือได้ว่าเป็นปีที่ดีสำหรับชาวปีจอทั้งหลาย

ดังนั้นถ้าคิดจะลงทุนทำการค้า หรือขยายกิจการให้กว้างใหญ่ยิ่งขึ้น ช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะเหมาะ ควรรีบฉวยโอกาสทองไว้ แล้วดำเนินการ ความสำเร็จคงไม่ไกลเกินเอื้อม ในปีนี้นอกจากมีดาวมงคลช่วยส่งเสริมแล้ว ยังมีผู้ใหญ่ให้ความช่วยเหลืออุปถัมภ์อีกด้วย อีกทั้งสติปัญญาของท่านค่อนข้างเฉียบแหลม จึงมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ที่โดดเด่นออกมา ส่งผลให้ประสบความสำเร็จ

ทั้งด้านการงานและการค้า ได้รับผลตอบแทนกลับมาเป็นที่น่าพอใจ ส่วนท่านทำงานประจำหรือรับราชการ ก็จะมีโอกาสได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งขึ้นเงินเดือน ฉะนั้นปีนี้เคราะห์ร้ายจะสูญสลาย เคราะห์ดีจะเข้ามาแทน แต่เนื่องจากในความโชคดีนั้นก็ยังมีดาวอัปมงคลเบียดบังเข้ามาก่อกวน โดยเฉพาะดาวมนต์ชั่วร้าย “สื่อฝู” กับดาวละลายทรัพย์ “เสี่ยวห้าว” จึงต้องระวังดูแลใส่ใจเรื่องสุขภาพและอุบัติเหตุความปลอดภัยต่างๆ ให้ดี อย่าประมาทเด็ดขาด

เดือนที่การงานของท่านจะพัฒนาได้ดี ได้แก่เดือน กุมภาพันธ์ มิถุนายน กันยายน และธันวาคม เป็นช่วงเวลามงคลโอกาสดีที่ควรจะฉกฉวยไว้ เพื่อสร้างสรรค์ผลงาน จงอย่าได้ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

ส่วนเดือนที่การงานมีอุปสรรค ได้แก่เดือน เมษายน สิงหาคม ตุลาคม และมกราคม 2557 ทำสิ่งใดควรคิดพิจารณาให้รอบคอบอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน

ด้านโชคลาภการเงิน ในปีนี้ดวงโชคลาภการเงินดีเยี่ยม การลงทุนให้ผลกำไรคุ้มค่า กิจการรุ่งเรืองเงินทองไหลมาเทมา การทำสิ่งใดๆ ในช่วงนี้หากพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบ ก็จะส่งผลดียิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีดาวละลายทรัพย์ “เสี่ยวห้าว” ปรากฏในเรือนชะตา ส่งผลให้เงินทองรั่วไหล เก็บออมเงินทองไม่อยู่ และอาจจะถูกผู้ไม่หวังดีหลอกลวงทำให้เสียทรัพย์ ดังนั้นจึงต้องจัดการบัญชี รายรับ-รายจ่าย ให้รอบคอบละเอียดถี่ถ้วน ระวังเรื่องการใช้จ่ายให้ดี ไม่เช่นนั้นเงินทองที่ผ่านเข้ามาก็จะเหมือนลมที่พัดผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป นอกจากนี้ไม่ควรทำการลงทุนใดๆ ที่เกินกำลัง และควรไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ

เดือนที่มีโชคลาภเรื่องการเงิน ได้แก่เดือน กุมภาพันธ์ มีนาคม มิถุนายน กันยายน ธันวาคม และมกราคม 2557 เป็นช่วงที่ควรจะเก็บออมสะสมไว้ใช้จ่ายในอนาคต

ส่วนเดือนที่มีปัญหาเรื่องการเงิน ได้แก่เดือน พฤษภาคม กรกฎาคม สิงหาคม ตุลาคม และพฤศจิกายน ควรใช้ความระมัดระวังในการใช้จ่าย

ด้านสุขภาพ ท่านที่เกิดปีจอปีนี้สุขภาพไม่ค่อยดี ไม่ค่อยแข็งแรงทั้งนี้เพราะมีดาวมนต์ชั่วร้าย “สื่อฝู” เข้ามารังควาน ส่งผลให้สุขภาพของท่านอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ จึงอาจติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย ด้องหมั่นดูแลเอาใจใส่สุขภาพให้มาก หากมีอาการเจ็บป่วยหรือผิดปกติขึ้นมา ควรรีบปรึกษาแพทย์และทำการรักษาโดยเร็ว

นอกจากนี้ควรละเลิกนิสัยเสเพลเที่ยวเตร่กลางคืน หลงใหลในอบายมุข ดื่มกินของมึนเมาต่างๆ เพราะจะทำให้เสียเงินเสียทองและเสียสุขภาพ อีกทั้งยังเป็นเหตุทำให้เสียการเสียงาน สูญเสียโอกาสที่ดีในการทำงาน ดังนั้นจึงต้องระวังรู้จักความพอเหมาะพอควร ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายต่างๆ ได้ อีกทั้งยังดีต่อสุขภาพและหน้าที่การงานรวมทั้งสามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดด้วย จึงต้องมีสติรู้ผิดชอบชั่วดีอยู่เสมอ

เดือนที่สุขภาพมีปัญหาในปีนี้ คือเดือนเมษายน พฤษภาคม ส่วนเดือนมิถุนายน ให้ระวังอุบัติเหตุภัยทางน้ำ เดือนกรกฎาคม ระวังเกิดอุบัติเหตุกับเด็กเล็กภายในบ้าน เดือนกันยายน ระวังอุบัติเหตุยามค่ำคืน โดยเฉพาะการขับขี่รถยนต์ และเดือนมกราคม 2557 ระวังโรคทางเดินหายใจกับโรคทางเดินอาหาร 

ด้านความรัก 
ท่านที่เกิดปีจอ ในปีนี้เนื่องจากมีดาวมงคล นกคู่แห่งรัก “หงหลวน” โคจรเข้ามาเยือน ความรักจึงมีชีวิตชีวา มีเสน่ห์เป็นที่ต้องตาต้องใจสำหรับเพศตรงข้ามเป็นพิเศษ ผู้ที่หัวใจยังว่างไร้ผู้จับจอง กามเทพจะแผลงศรให้เกิดความรักที่หวานชื่นสดใสสามารถสานสัมพันธ์ให้ใกล้ชิด จนอาจมีข่าวมงคลในไม่ช้าไม่นาน แต่สำหรับชาวปีจอผู้ซึ่งมีคนรู้ใจอยู่แล้ว ความรักและสายใยสัมพันธ์จะคืบหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง ต้นรักที่กำลังเติบโตเต็มที่จะออกดอกผลในปีนี้เป็นโอกาสของผู้ที่มีโครงการจะร่วมหอลงโรงได้ลั่นระฆังวิวาห์อย่างแน่นอน

เดือนที่ความรักมีความคืบหน้ามากที่สุด ได้แก่เดือน กุมภาพันธ์ มีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม จึงควรฉกฉวยโอกาสนี้เสริมความรักให้ใสปิ๊ง เพื่อเพื่อนฝูงและญาติมิตรจะได้พลอยชื่นชมยินดีไปด้วย

ส่วนเดือนเมษายน และกรกฎาคม ความรักจะมีอุปสรรคทำให้เกิดการหมางเมินกันได้ง่าย จึงต้องระมัดระวังและพยายามปรับความเข้าใจกันให้ดี จึงจะไม่เกิดการร้าวฉาน

ดาวของคนเกิดปีกุน และดวงปี 2556

ดาว “มงคล” และ “อัปมงคล” ของคนปีกุน
ดาวมงคล “อี้หม่า” (ม้าเดินทาง) เมื่อดาวมงคลดวงนี้โคจรมาอยู่ในดวงชะตาของผู้ใด จะบ่งบอกความหมายว่า เป็นปีที่ดีเหมาะสำหรับเดินทางเพื่อทำธุรกิจการค้าในต่างถิ่น หรือเดินทางท่องเที่ยวเพื่อความสนุกสำราญ

ดาวอัปมงคล “ต้าห้าว” (เสียทรัพย์) เมื่อดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ในดวงชะตาของผู้ใด จะนำความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ท่านจึงต้องระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายต่างๆ ให้ดี หลีกเลี่ยงการลงทุน และการทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น ควรเก็บสะสมเงินทองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน และห้ามเล่นการพนันอย่างเด็ดขาด เพราะหากท่านพลาดพลั้งไป จะทำให้เกิดวิกฤตทางการเงิน จนอาจทำให้ตัวท่านและครอบครัวเดือดร้อน

ดาวอัปมงคล “ภ่อซุ่ย” (แตกหัก) เมื่อดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ในดวงชะตาของผู้ใดจะบอกเหตุลางร้าย ผู้คนควรจะระวังความประพฤติให้อยู่ในศีลธรรมอันดี และในเวลาเดียวกันจะต้องดูแลเอาใจใส่ตนเองให้ดี อย่าให้เกิดการบาดเจ็บต่างๆ

ดาวอัปมงคล “พีโถว” (ผมสยาย) ดาวอัปมงคลดวงนี้ คือลางร้าย ถ้าหากโคจรมาอยู่ในเรือนชะตาของผู้ใด จงจำไว้ว่าจะต้องระมัดระวังเอาใจใส่ถึงความปลอดภัยของสมาชิกในครอบครัวให้มาก โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ ในบ้านท่าน

ดาวอัปมงคล “ตี้ซา” (ดาวปฐพีพิฆาต) เมื่อดาวคุกคามดวงนี้ปากฎขึ้นในดวงชะตา ท่านต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ในเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยในการสัญจรบนท้องถนน

ดาวอัปมงคล “หลันกัน” (ลูกกรง) ในตำราโหราศาสตร์จีน “ดาวลูกกรง” และ “ดาวแห่งคุกตาราง” มีความหมายคล้ายคลึงกัน แต่อย่างไรก็ดีดาวลูกกรง ส่งผลร้ายน้อยกว่าดาวแห่งคุกตาราง เนื่องจากดาวลูกกรงส่งผลถึงการถูกควบคุมตัวไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ดาวแห่งคุกตารางจะส่งผลให้ถูกติดคุกติดตารางเป็นระยะเวลานาน

ดวงชะตาโดยรวมของผู้ที่เกิดปีกุน 

ท่านที่เกิดปีกุน ปีนี้ดวงชะตาของท่าน “ชง : ปะทะ” โดยตรงกับเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา “ไท้ส่วยเอี๊ย” และเป็นอริกับปีมะเส็งโดยตรง เกณฑ์นี้เป็นเกณฑ์ร้ายที่สุดในบรรดา “ฆาตดวงชะตา” ทั้งหลาย เป็นเกณฑ์ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงครั้งใหญ่ในชีวิต อีกทั้งในเรือนชะตาของท่านยังมีกลุ่มดาวอัปมงคลโคจรเข้ามาก่อนกวนสร้างความเสียหาย โดยเฉพาะดาวร้าย “ซุ่ยภ่อ” ที่จะทำให้เกิดเคราะห์ภัยต่างๆ กับดาวเสียทรัพย์ “ต้าห้าว” ที่จะสร้างปัญหารุมเร้าให้ท่านต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง จึงต้องระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีความเสี่ยง

รวมทั้งต้องละเว้นการเล่นพนันเสี่ยงโชคอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ยังมีดาวลูกกรง “หลันกัน” เข้ามาคุกคามเพ่งเล็ง จึงต้องพยายามอยู่อย่างสงบเสงี่ยม อย่าไปยุแหย่ท้าทายมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่นหรือกระตุ้นให้เกิดปัญหาใดๆ และต้องประพฤติปฏิบัติตัวให้อยู่ในทำนองคลองธรรม อย่าริอาจทำเรื่องผิดกฎหมายเป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะนำพาความเดือดร้อนมาสู่ตนเองอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

ด้านการงาน ปีนี้การทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานจะต้องคอยประสานงานกันให้ดียึดหลักความสามัคคีกลมเกลียว และสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยเฉพาะกับหัวหน้าหรือผู้บริหาร ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน อย่าโต้เถียงหรือยึดถือความคิดของตนจนไม่ฟังใคร มิฉะนั้นความเจริญก้าวหน้าของท่านจะหยุดชะงักลง สิ่งที่ต้องระวังคือ การถูกใส่ร้ายป้ายสี ต้องพยายามชี้แจงความเข้าใจผิดให้กระจ่าง มิฉะนั้นจะทำให้ท่านเสียหายการงานติดขัด

นอกจากนี้ต้องพยายามขวนขวายหาวิธีการแก้ปัญหาพร้อมสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ปรับปรุงวิธีการทำงานให้กระชับถูกต้องและรวดเร็ว จงอย่ามักง่ายเห็นปัญหาต่างๆ เป็นเรื่องเล็กแล้วปล่อยผ่านไปเพราะบางเรื่องอาจจะบานปลายสร้างความเสียหายให้กับท่านได้อย่างร้ายแรง

ปีนี้แม่สิ่งต่างๆ จะไม่เกื้อหนุนส่งเสริมท่าน แต่มีดาวมงคลม้าเดินทาง “อี้หม่า” โคจรเข้ามาเยือน จึงช่วยส่งเสริมเรื่องการงาน หากมีการเดินทางไปติดต่อธุรกิจการค้ากับคนภายนอก หรือเดินทางไปบุกเบิกการค้าขายยังต่างถิ่นต่างแดน ก็จะประสบความสำเร็จได้

เดือนที่การงานก้าวหน้าราบรื่น คือเดือนมีนาคม มิถุนายน กรกฎาคม ตุลาคม และพฤศจิกายน เป็นช่วงเวลาที่ควรจะฉกฉวยไว้เพื่อสร้างสรรค์ผลงาน จงอย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

ส่วนเดือนที่การงานจะมีอุปสรรคปัญหาติดขัด ได้แก่เดือน กุมภาพันธ์ เมษายน พฤษภาคม สิงหาคม กันยายน ธันวาคม และมกราคม 2557 ช่วงเดือนเหล่านี้ท่านต้องใช้สติและความสุขุมใจเย็นระมัดระวังเป็นพิเศษ 

ด้านโชคลาภการเงิน 
ปีนี้ดวงโชคลาภการเงินของท่านถูกทำลายจนเสียหาย ฐานะการเงินตกต่ำจะมีเหตุให้เสียทรัพย์อยู่ร่ำไป เนื่องจากอิทธิพลของดาวสูญเสียทรัพย์ “ต้าห้าว” ที่ส่งผลทำให้เงินทองรั่วไหล จึงควรหาวิธีป้องกันก่อนที่สายเกินแก้ นอกจากนี้ควรระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยให้ดี เพราะไม่ใช่แค่เพียงรายรับไม่เข้าเป้า แต่มีรายจ่ายบานปลายที่ไม่คาดคิดแฝงเข้ามา จึงต้องพยายามตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตทางการเงิน และหากท่านบริหารการเงินอย่างไม่ระมัดระวัง อาจเกิดภาวะขาดสภาพคล่อง

ส่วนลาภลอยนั้นยังอยู่ไกลเกินเอื้อม ดังนั้นจงอย่าได้คิดฝัน การเสี่ยงโชคหรือเล่นการพนันใดๆ ในช่วงนี้ เพราะมีแต่จะทำให้ท่านเสียทรัพย์ เนื่องจากดาวโชคลาภทางการเงินริบหรี่สุดๆ ทางที่ดีควรเก็บหอมรอมริบเงินทองไว้เผื่อภายภาคหน้าจะดีกว่า

เดือนที่การเงินคล่องตัวดี คือเดือนมีนาคม มิถุนายน กรกฎาคม และพฤศจิกายน พยายามฉกฉวยโอกาสนี้สร้างรายได้ แล้วเก็บสะสมไว้เผื่ออนาคตภายหน้า

ส่วนเดือนที่การเงินขัดสนมาก คือเดือนกุมภาพันธ์ เมษายน พฤษภาคม สิงหาคม ธันวาคม และมกราคม 2557 ในช่วงเดือนเหล่านี้ต้องระมัดระวังการใช้จ่ายเงินเป็นพิเศษ

ด้านสุขภาพ 
ปีนี้เนื่องจากมีดาวอัปมงคลปรากฏอยู่ในเรือนชะตาของท่าน บ่งบอกว่ามีเกณฑ์ที่จะเจ็บไข้ได้ป่วยโดยง่าย จึงควรเอาใจใส่หมั่นดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ หาเวลาไปตรวจสุขภาพประจำปีบ้าง และควรออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง มีภูมิต้านทานโรค หากท่านปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่ดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควร สุขภาพร่างกายจะอ่อนแอทรุดโทรมโรคภัยไข้เจ็บก็จะตามมา และควรจำไว้ว่าหากเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาแต่เนิ่นๆ มิใช่ปล่อยปละละเลย จนอาการหนักแล้วค่อยมาเยียวยา ซึ่งอาจทำให้ทานต้องเสียเวลาและเงินทองจำนวนมากในการรักษา

เดือนที่ต้องระมัดระวังเรื่องสุขภาพให้มาก คือเดือนพฤษภาคม มิถุนายน และมกราคม 2557 ส่วนเดือน สิงหาคม ให้ระวังเด็กๆ จะได้รับบาดเจ็บจากของมีคม เดือน กันยายน ให้ระวังพลัดตกจากที่สูง 

ด้านความรัก
 ท่านที่เกิดปีกุนในปีนี้ เรื่องความรักยากที่จะสมหวังเพราะดาวความรักไม่เสริมส่งหาคนรู้ใจสักคนแสนยาก แม้รู้สึกเงียบเหงาว้าเหว่ ก็ต้องพยายามทำใจ อย่าคิดหวังที่จะไปไขว่คว้าหาความรักมากเกินไป เพราะจะทำให้ทานถูกคนเจ้าเล่ห์หลอกลวงได้ง่าย อาจทำให้สูญเสียทั้งเงินทั้งกายได้ และต้องมานั่งเสียใจในความโง่เขลาของตนเอง ทางที่ดีเอาเวลาและสมองไปทำในสิ่งที่มีประโยชน์กับท่านจะดีกว่า หรือไปฝึกจิตนั่งสมาธิ ทำบุญทำทาน เผื่อผลบุญจะได้อุ้มสมให้ท่านได้พบกับบุบเพสันนิวาสในปีต่อๆ ไป

เดือนที่ความรักมีพัฒนาการดีขึ้น ได้แก่เดือน กุมภาพันธ์ กรกฎาคม ตุลาคม และพฤศจิกายน ต้องพยายามทะนุถนอมความสัมพันธ์ให้ดีและใกล้ชิดเข้าไว้

ส่วนเดือนที่ความรักมีปัญหามากที่สุด ได้แก่เดือน เมษายน มิถุนายน กันยายน และธันวาคม ในช่วงนี้ควรที่จะจัดการปัญหาเรื่องของหัวใจด้วยความใจเย็น



ดาวของคนปีระกา และดวงปี 2556


ดาว “มงคล” และ “อัปมงคล” ของคนปีระกา
ดาวมงคล “เจียงซิง” (ดาวนายพล) เมื่อดาวดวงนี้โคจรเข้ามาอยู่ในเรือนชะตาของผู้ใด จะเป็นนิมิตรหมายอันเป็นมงคลดียิ่ง จะส่งผลให้เกิดโชคลาภร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง และยังสามารถสยบรัศมี และพลังของดาวอัปมงคลต่างๆ ที่มารวมอยู่ในเรือนชะตาเดียวกันลงได้เลย

ดาวมงคล “ซันไถ” (สามพลับพลา) การปรากฏตัวของดาวมงคลดวงนี้ในดวงชะตาใดถือว่าเป็นลางที่ดีมากบ่งบอกถึงความมั่นใจและพลังที่จะผ่าฟันอุปสรรคปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปรปักษ์ และสิ่งต่างๆ ที่มาท้าทาย จนในที่สุดสามารถเอาชนะและประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย

ดาวอัปมงคล “อู๋กุ่ย” (ห้าปีศาจ) เมื่อดาวอัปมงคลนี้โคจรมาอยู่ในดวงชะตาของผู้ใดจะต้องใส่ใจระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยต่างๆ พยายามหลีกเลี่ยงและอย่าสร้างปัญหาที่เป็นการท้าทายผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งอำนาจเพราะจะเป็นเหตุสร้างปัญหาแก่ตัวท่านอย่างไม่จบสิ้น

ดาวอัปมงคล “กวันฝู” (คดีความ) เมื่อดาวอัปมงคลนี้โคจรมาอยู่ในดวงชะตาของผู้ใด ท่านจะต้องระมัดระวังความประพฤติของตนเองให้ดี ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและกฎของสังคม รวมทั้งต้องปฏิบัติจัดการเรื่องต่างๆ อย่างถูกต้องและรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากฎหมายและคดีความต่างๆ

ดวงชะตาโดยรวมของผู้ที่เกิดปีระกา 


ปีนี้ดวงชะตาราบรื่นดี แม้จะมีดาวอัปมงคลหลายดวงโคจรเข้ามาเพ่งเล็ง ส่งผลร้ายทำให้มีอุปสรรคขวากหนามมากมาย แต่โชคดีที่มีดาวนายพล “เจียงซิง” และดาวมงคลสามพลับพลา “ซันไถ” เข้ามาคุ้มครองส่งเสริม จึงนับเป็นนิมิตรหมายที่ดี แม้จะพานพบอุปสรรคบ้าง แต่หากท่านมีความพากเพียรอดทนไม่ย่อท้อ ก็จะสามารถเอาชนะอุปสรรคปัญหาความเลวร้ายต่างๆ จนประสบความสำเร็จได้

ด้านการงาน ปีนี้ท่านต้องพยายามเปิดเกมรุกจึงจะทำให้กิจการงานของท่านเจริญรุ่งเรืองประสบความสำเร็จได้ หากเพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้มากขึ้นก็จะสมปรารถนาทุกประการ ปีนี้ท่านต้องตระหนักไว้ในใจว่า หากคิดจะทำการค้าต้องมองเกมให้ออกอย่างทะลุปุโปร่ง และต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด อย่าสองจิตสองใจเป็นอันขาด อีกทั้งต้องไม่ลังเลเพราะจะทำให้ท่านเสียโอกาสที่ดีไปได้ สิ่งสำคัญไม่ว่าจะทำอะไรต้องละเอียดรอบคอบและตรวจสอบให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดการผิดพลาดขึ้นมา มิฉะนั้นหากก้าวผิดเพียงครั้งเดียว อาจทำให้ท่านต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

อย่างไรก็ดีเจ้าชะตาปีระกา ปีนี้ต้องพยายามทุ่มเทอย่างจริงจัง ต้องใช้ความมุมานะ ผนึกกำลังกายกำลังสมองในการทำงาน และหมั่นเตือนตนเองว่า “ชีวิตนี้ครึ่งหนึ่งดวงชะตากำหนด อีกครึ่งหนึ่งก็ต้องพึ่งพาตนเอง” จึงจะเอาชนะอุปสรรคปัญหาต่างๆ และประสบความสำเร็จได้

เดือนที่หน้าที่การงานมีความก้าวหน้ามากที่สุด คือเดือนเมษายน พฤษภาคม สิงหาคม ตุลาคม และมกราคม 2557 ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จงฉกฉวยโอกาสอันดีนี้ไว้ แล้วมุ่งมั่นทำงานให้ประสบความสำเร็จอย่างเต็มที่

ส่วนเดือนที่การงานมีอุปสรรคขวากหนามมากที่สุด ได้แก่เดือน มีนาคม มิถุนายน กรกฎาคม และพฤศจิกายน ต้องตั้งสติพยายามประคับประคองแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างรอบคอบ

ด้านโชคลาภการเงิน ปีนี้โชคลาภมั่งคั่งบริบูรณ์ การลงทุนทำการค้า หรือเก็งกำไร ได้รับผลตอบแทนดี สิ่งสำคัญต้องรักษาความลับทางธุรกิจให้ดี จงอย่าแพร่งพรายให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องรู้อย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

ในปี้นี้แม้จะมีรายรับเข้ามาก แต่ก็ควรระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยให้ดี เพราะเมื่อมีรายรับมากรายจ่ายย่อมมากเป็นเงาตามตัว หากไม่บริหารจัดการเงินอย่างระมัดระวัง ก็อาจทำให้เงินทองของท่านร่อยหรอได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

เดือนที่การเงินคล่องตัวดี คือเดือนเมษายน พฤษภาคม สิงหาคม ตุลาคม และมกราคม 2557 พยายามฉกฉวยโอกาสนี้สร้างรายได้ แล้วเก็บสะสมไว้เผื่ออนาคต

ส่วนเดือนที่การเงินขัดสนติดขัด คือเดือนกุมภาพันธ์ มิถุนายน กรกฎาคม กันยายน และพฤศจิกายน ในช่วงเดือนเหล่านี้ต้องระมัดระวังการใช้จ่ายเงินเป็นพิเศษ และไม่เหมาะกับการลงทุน หรือเสี่ยงโชคใดๆ

ด้านสุขภาพ 
ท่านที่เกิดปีระกาปีนี้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงไม่มีปัญหาอะไร แต่ต้องระวังสุขอนามัยของอาหารการกินเป็นพิเศษ ไม่ควรทานอาหารมากเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้ไม่ควรหักโหมทำงานหนักมากจนลืมดูแลเอาใจใส่สุขภาพของตนเอง ควรพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ บำรุงร่างกายด้วยอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง และควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อชะล้างสิ่งสกปรก และเชื้อโรคให้ออกจากร่างกาย รวมทั้งต้องรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ จะได้มีสุขภาพแข็งแรงตลอดปี

เดือนที่สุขภาพไม่แข็งแรง ได้แก่เดือน กุมภาพันธ์ มีนาคม กรกฎาคม สิงหาคม และมกราคม 2557 ต้องดูแลเอาใจใส่สุขภาพให้ดี และช่วงเดือนพฤษภาคม มิถุนายน ธันวาคม ให้ระวังเรื่องอุบัติเหตุการขับรถบนท้องถนน เดือนกันยายนให้ระวังการตกจากที่สูง

ด้านความรัก ท่านที่เกิดปีระกา ปีนี้ความรักไม่สมอารมณ์หมายไม่เป็นไปอย่างที่ปรารถนาชีวิตส่วนตัวจึงค่อนข้างเงียบเหงา แม้พยายามเปิดตัวเองมองหารัก แต่ก็ยากจะสมหวัง ช่วงปลายปีอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี แต่ก็เป็นรักที่ดำรงอยู่ได้เพียงชั่วคราวไม่จริงจังอะไรมากนัก ดังนั้นจึงควรปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาพรหมลิขิตอย่าดิ้นรนไขว่คว้าจะทำให้ท่านทุกข์ใจ

นอกจากนี้ท่านควรปรับปรุงพฤติกรรมของท่านให้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี อย่าเย่อหยิ่งทะนงตนและเอาแต่ใจ โดยถือเอาตนเองเป็นหลัก เพราะจะทำให้คนรักเบื่อหน่าย และส่งผลทำให้ความรักจืดจางถึงขั้นแตกหักเลิกรากันได้ ดังนั้นจึงควรถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา ดูแลสายสัมพันธ์แห่งรักให้ดี ความรักของท่านจะได้ยืนยาวตลอดไป

เดือนที่ความรักมีปัญหาไม่ลงตัว ได้แก่เดือน มีนาคม เมษายน และพฤศจิกายน ช่วงเดือนเหล่านี้พยายามหันหน้าปรับความเข้าใจกัน ต้องถนอมน้ำใจกันให้ดี

ส่วนเดือนที่ความรักมีความคืบหน้ามากที่สุด ได้แก่เดือน ตุลาคม และธันวาคม ควรฉวยโอกาสในการเสริมใยเหล็กให้กับความรัก ประคับประคองเร่งให้ต้นรักเติบโตโดยเร็ว ออกดอกออกผลในเร็ววัน

ดาวของคนปีมะเส็ง และดวงปี 2556


ดาว “มงคล” และ “อัปมงคล” ของคนปีมะเส็งดาวมงคล “ปาจั้ว” (ดาวแปดองครักษ์) เมื่อดาวมงคลดวงนี้โคจรมาอยู่ในเรือนชะตาผู้คนจะได้รับการส่งเสริมให้ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง มีอำนาจบัญชาการภารกิจต่างๆ และเป็นที่เกรงขามต่อผู้อื่น

ดาวมงคล “เจี่ยเสิน” (เทพช่วยพ้นภัย) เมื่อดาวมงคลดวงนี้โคจรมาอยู่ในเรือนชะตาของผู้ใด ผู้นั้นจะต้องมีความมั่นคง อดทน เชื่อมั่นในตนเองไม่ท้อแท้แม้ปัญหาจะหนักหนาเพียงใดก็อย่าท้อถอย เพราะเมื่อถึงคราวหน้าสิ่วหน้าขวานก็จะได้รับความช่วยเหลือให้ผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาต่างๆ ไปได้ด้วยดี

ดาวมงคล “เทียนเจี่ย” (สวรรค์ช่วยให้พ้นภัย) เมื่อดาวมงคลดวงนี้โคจรมาอยู่ในเรือนชะตาของผู้ใด ผู้นั้นจะต้องต่อสู้ความยากลำบากด้วยความอดทน และมุ่งมั่นอย่าท้อแท้ถึงแม้เหตุการณ์จะเลวร้ายเพียงใดก็ตามแล้วในที่สุดจะได้รับความช่วยเหลือให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้

ดาวอัปมงคล “เจี้ยนฟง” (ดาวกระบี่คม) ดาวดวงนี้จัดเป็นดาวอัปมงคลดวงหนึ่งที่บอกกล่าวให้ระวังเกี่ยวกับอุบัติเหตุ และความปลอดภัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ กลางแจ้ง และให้ระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะในการหยิบจับหรือใช้ของมีคมต่างๆ

ดาวอัปมงคล “ไท้ซุ่ย” (ไท้ส่วย) หากดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ในดวงชะตาผู้ใดจะทำให้มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ เกิดความอึดอัด มีอุปสรรคปัญหา ทำการสิ่งใดมักติดขัด เดือดร้อนไม่สบายใจอยู่เสมอ

ดาวอัปมงคล “จื่อเป้ย” (ศัตรูที่ซ่อนเร้น) เมื่อดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ในเรือนชะตา ผู้คนต้องพยายามปกปิดซ่อนเร้นความอ่อนแอหรือจุดอ่อนของตนเอง และจงระมัดระวังศัตรูที่ซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่ หรือคำครหานินทาให้ร้ายต่างๆ

ดาวอัปมงคล “เสว่เยิ่น” (เลือดตกยางออก) หากดาวอัปมงคลร้ายดวงนี้โคจรมาอยู่เรือนชะตา และไม่มีดาวมงคลมาช่วยแก้ไขดับรัศมี จะส่งผลให้มีอันตรายถึงขั้นเลือดตกยางออกต้องระวังการดำเนินชีวิตประจำวันให้ดี อย่าได้ประมาท โดยเฉพาะสตรีต้องระวังการตกเลือดเป็นพิเศษ 

ดวงชะตาโดยรวมของผู้ที่เกิดปีมะเส็งท่านที่เกิดปีมะเส็ง “ทับไท้ส่วย” ในปีนี้นับเป็นปีที่มาบรรจบครบรอบตรงกับปีเกิดของท่านพอดี แม้ว่าดวงชะตาของท่านยังไม่ถึงกับชงกับปีเกิด แต่ก็จะมีสิ่งอัปมงคลและเคราะห์ภัยเข้ามารังควานอยู่เสมอ สร้างความอึดอัดเดือนเนื้อร้อนใจ หน้าที่การงานและธุรกิจการค้ามักต้องเผชิญกับอุปสรรคปัญหาและสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ อีกทั้งยังมีดาวร้ายกระบี่คม “เจี้ยนฟง” คอยจ้องฟันแทงอยู่ จึงต้องระมัดระวังอุบัติเหตุเลือดตกยางออกจากของแหลมคม

นอกจากนี้ยังมีดาวเลือดตกยางออก “เส่วเยิ่น” กับดาวผลุบโผล่ “ฝู่เฉิน” ที่แผ่อิทธิพลส่งผลร้ายทำให้อาจประสบเคราะห์ภัยที่ไม่คาดคิด จึงต้องระมัดระวังตัวเองและสมาชิกในครอบครัวให้ดี โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้อาวุโสต้องดูแลเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังต้องระมัดระวังการดำเนินชีวิตประจำวันให้ดี อย่าให้เกิดภัยอันตรายต่างๆ เพราะเกณฑ์ชะตาบ่งบอกว่าอาจมีภัยถึงขั้นเลือนตกยางออก

รวมทั้งภัยอันตรายจากทางน้ำด้วย แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่มีดาวมงคลแปดองครักษ์ “ปาจั๊ว” ดาวสวรรค์ช่วยให้พ้นภัย “เทียนเจี่ย” และดาวเทพเจ้าช่วยแก้ไข “เจี่ยเสิน” โคจรเข้ามาคุ้มครองช่วยบรรเทาสลายเคราะห์ภัยต่างๆ ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาและส่งเสริมให้เกณฑ์ชะตาดีขึ้นในช่วงปลายปี

ด้านการงาน ปีนี้ท่านต้องมีความละเอียดรอบคอบเป็นพิเศษในการทำธุรกิจการงาน ไม่ควรรีบร้อนจนเกินไป จะทำสิ่งใดก็ควรศึกษารายละเอียดต่างๆ เสียก่อน ตรวจสอบพิจารณาวางแผนการให้รัดกุมก่อนลงมือทำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผิดพลาดขึ้นมา มิฉะนั้นหากก้าวผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อาจทำให้ทุกสิ่งที่ท่านทุ่มเททำมาโดยตลอดต้องพังพินาศลงอย่างง่ายดาย

นอกจากนี้ท่านควรเปิดใจให้กว้างยอมรับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้อื่นไว้ให้มาก เพื่อนำมาปรับปรุงประยุกต์ใช้กับการดำเนินธุรกิจหรือการแก้ไขปัญหาของท่านต่อไป หากทำเช่นนี้ได้ท่านจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตามชาวปีมะเส็งปีนี้ต้องใช้ความมุมานะขยันอดทน ผนึกทั้งกำลังกายกำลังสมองในการทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อฝ่าฟันไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย

เดือนที่หน้าที่การงานมีความก้าวหน้ามากที่สุด คือเดือนเมษายน สิงหาคม กันยายน และมกราคม 2557 ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จงฉกฉวยโอกาสที่ดีนี้ไว้ แล้วมุมานะมุ่งมั่นทำงานให้ประสบความสำเร็จอย่างเต็มที่

ส่วนเดือนที่การงานมีอุปสรรคขวากหนามมากที่สุด คือเดือนกุมภาพันธ์ พฤษภาคม มิถุนายน ตุลาคม พฤศจิกายน ต้องพยายามตั้งสติประคับประคองแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างรอบคอบ

ด้านโชคลาภการเงิน ปีนี้ดาวโชคลาภเปล่งประกายสดใส รายได้หลักค่อนข้างมั่นคงและยังมีรายได้พิเศษจากด้านการค้า มีลูกค้าเพิ่มขึ้น จึงมีเงินทองไหลมาเทมา แม้ปีนี้เงินทองจะสะพัดคล่องตัวดี แต่รายจ่ายก็ติดตามมาอย่างกระชั้นชิด ดังนั้นท่านต้องวางแผนบริหารจัดการเรื่องการใช้จ่ายเงินทองให้รัดกุมรอบคอบ ต้องรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ เก็บออมเงินทองไว้ มิฉะนั้นอนาคตที่ไม่เที่ยงแท้ อาจจะเกิดปัญหาเรื่องการเงินขึ้นได้

ในปีนี้แม้ลาภทางตรงจะสดใส แต่ลาภลอยกลับมืดมิด จึงต้องละเว้นเรื่องการเสี่ยงโชคเล่นการพนัน รวมทั้งการลงทุนที่มีความเสี่ยง พยายามหลีกเลี่ยงการให้ผู้อื่นกู้ยืมเงินเพราะมีโอกาสที่จะพลาดท่าเสียเงินเสียทองไปโดยไมได้กลับคืนมา ซ้ำยังจะเกิดปัญหาทุกข์ใจในภายหลังอีกด้วย

ปีนี้เดือนที่โชคลาภการเงินตกต่ำมาก ได้แก่เดือน เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน ตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม ในช่วงเดือนเหล่านี้ พึงระวังเรื่องการใช้จ่ายเป็นพิเศษ และเดือนเมษายน กับเดือนสิงหาคม ต้องระวังพวกมิจฉาชีพมาหลอกลวงให้ท่านต้องเสียทรัพย์

ส่วนเดือนที่ดาวโชคลาภจรัสแสงรุ่งโรจน์โชติช่วง ได้แก่เดือน มีนาคม กรกฎาคม สิงหาคม และมกราคม 2557 ช่วงนี้ควรเก็บออมสะสมเงินทองไว้ให้มากจะได้มีทุนทรัพย์เผื่อไว้ในยามขัดสน

ด้านสุขภาพ ท่านที่เกิดปีมะเส็ง ปีนี้เนื่องจากมีดาวอัปมงคลกระบี่คม “เจี้ยนฟง” และดาวเลือดตกยางออก “เสว่เยิ่น” โคจรเข้ามาเพ่งเล็งอยู่ในเรือนชะตาของท่าน เป็นลางบ่งบอกว่าอาจจะต้องประสบเคราะห์ภัยจากของแหลมคมจนถึงขั้นเลือดตกยางออก ดังนั้นจึงควรใช้ความระมัดระวังในการหยิบจับใช้สอยของแหลมคมเป็นพิเศษ หากจำเป็นต้องใช้ของเหล่านั้น ก็ต้องระมัดระวังอย่าเผลอเรอจนเกิดการบาดเจ็บ

อีกทั้งต้องระวังอุบัติเหตุที่เกิดจากการเดินทางสัญจรตามท้องถนนและการขับขี่ยวดยานพาหนะ นอกจากนี้ยังต้องหลีกเลี่ยงการปะทะคารมมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น อันจะนำไปสู่การเกิดเรื่องถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลได้ หากมีเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นก็ต้องพยายามใจเย็นเข้าไว้ อย่าให้อารมณ์โกรธเข้าครอบงำ พึงระลึกไว้ในใจเสมอว่าผูกมิตรดีกว่าสร้างศัตรู

เดือนที่ต้องระวังเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ได้แก่เดือนกุมภาพันธ์ เมษายน กรกฎาคม ตุลาคม และธันวาคม ในช่วงเดือนเหล่านี้ต้องพยายามรักษาและเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง

ด้านความรัก ท่านที่เกิดปีมะเส็ง ในปีนี้อาจไม่สดชื่นสมหวัง มักจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นเสมอๆ อีกทั้งยังมีอารมณ์ฉุนเฉียวได้ง่าย ดังนั้นท่านควรปล่อยวางบ้าง เรื่องที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็ควรให้อภัยกัน อย่าได้มีทิฐิยึดติดกับความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ จะได้ไม่ทำให้คนรักหรือเพื่อนสนิทมิตรสหายแหนงหน่ายหนีหาย จนต้องถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในที่สุด

เดือนที่ความรักหวานชื่นสดใสและราบรื่น คือเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน และมกราคม 2557 ในช่วงเดือนเหล่านี้ควรเร่งพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้น

ส่วนเดือนที่ความรักเปราะบางมีปัญหา ได้แก่เดือน มีนาคม พฤษภาคม ตุลาคม และพฤศจิกายน ต้องพยายามปรับความเข้าใจ พูดคุยด้วยเหตุผล ชีวิตรักจะได้ราบรื่น



วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เจมส์ บอนด์ ชอบดื่มอะไร

ไม่ใช่มาร์ตินี่....

            ในเว็บไซต์ www.atomicmartinis.com ได้ศึกษาผลงานชิ้นเอกของเอียน เฟรมมิ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบด้วยความอุตสาหะ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า โดยเฉลี่ยแล้ว เจมส์ บอนด์ ดื่มแอลกอฮอล์ทุกๆ เจ็ดหน้า
  จากการดื่มทั้งหมด 317 แก้ว ปรากฏว่าวิสกี้ชนะไปอย่างขาดลอย โดยเขาดื่มไปทั้งหมด 101 แก้ว ในจำนวนนั้น 58 แก้ว คือเบอร์เบินวิสกี้ และอีก 38 แก้วคือสก็อตวิสกี้ เขาค่อนข้างหลงใหลแชมเปญอยู่เหมือนกัน (30 แก้ว) และในตอน You Only Live Twice (1964) ซึ่งมีฉากส่วนใหญ่อยู่ที่ญี่ปุ่น บอนด์ได้ชิมเหล้าสาเกด้วย ซึ่งเขาก็รู้สึกชอบ และดื่มไป 35 แก้ว

              บอนด์เลือกดื่มมาร์ตินี่ ซึ่งใครๆ ก็คิดว่าเป็นเครื่องดื่มโปรดของเขาเพียง 19 ครั้งเท่านั้น  คำพูดสั้นๆ อันโด่งดังอย่าง "เขย่า  ไม่ต้องคน(shaken,not stirred)" ปรากฏขึ้นครั้งแรกในตอน Diamonds are Forever (1956) แต่ตัวบอนด์เองไม่ใช่คนพูดประโยคนี้ จนกระทั่งในตอน Dr.No (1959) นั่นแหละเขาจึงเป็นคนพูด  ฌอน คอนเนอรี่ คือบอนด์ในจอเงินคนแรกที่พูดว่า "เขย่า  ไม่ต้องคน"  ในตอน Goldfinger (1964) และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ในปี 2005 สถาบันภาพยนตร์แห่งสหรัฐอเมริกาได้ลงมติให้ประโยคดังกล่าวเป็นคำพูดจากภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลในอันดับที่ 19

ข้อมูลจาก : หนังสือ "ลบเหลี่ยมไอน์สไตน์ 2" : 85 

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

นางนพมาศ : นางเอกที่ถูกมองข้าม (สรุป)

การใช้ความเปรียบแตกต่างจากขนบวรรณกรรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์
                ความเปรียบที่ปรากฏในเรื่องนางนพมาศที่นับว่ามีลักษณะเด่น คือความเปรียบแบบ อุปมา ซึ่งมีความน่าสนใจอยู่ที่คำแสดงลักษณะหรือคุณศัพท์ของสิ่งที่เอาไปเปรียบ (อุปไมย) และคำนามที่ผู้แต่งเลือกเอามาเปรียบ (อุปมา) ซึ่งมักจะได้แก่ สัตว์ชั้นต่ำ หรือ สิ่งของบางอย่างที่ไม่น่าจะเปรียบกันได้ตามขนบ เช่นในข้อความว่า บางคนงามคมงามขำงามชาติงามตระกูลแต่ประพฤติเหมือนรากดิน ตนก็อาศัยแผ่นดิน มันก็ต้องเลื้อยไปเลื้อยมาอยู่ในแผ่นดินนั้นเอง
ความเปรียบอุปมานี้ ใช้คำคุณศัพท์ที่แสดงความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วยคำว่างามคมงามขำงามชาติงามตระกูลกับคำว่า เลื้อยไปเลื้อยมานับเป็นวิธีการบริภาษที่รุนแรงและแหลมคม  รวมทั้งมีความงามทางภาษาในการเล่นคำและซ้ำคำว่า รากดิน และ แผ่นดิน หรือการเปรียบกับปูลม  ในข้อความว่า เพลาเฝ้ารับราชกิจ พอเป็นกิริยาบุญบ้างเล็กน้อยไม่นั่งนานตะหลิบแล่นเร็วเหมือนปูลมชมกันว่าดีความเปรียบนี้ นำเอาปูลมที่เป็นสัตว์ชั้นต่ำมาเป็นอุปมา ซึ่งให้จินตภาพที่ประกอบคำว่า ตะหลิบแล่นเร็ว ได้อย่างชัดเจนและแฝงด้วยน้ำเสียงประชดประชันเสียดสีเช่นเดียวกับที่เปรียบกิริยา ริแรแชเชือน ว่าเป็น เช่นตั๊กแตนแล่นไปแล่นมา และเปรียบลักษณะการทำงานของนางสนมบางคนที่ทำบ้างไม่ทำบ้าง เป็นหมู่วับ ๆ แวม ๆ เหมือนแมลงหิ่งห้อย
นอกจากจะใช้ความเปรียบกิริยาที่ไม่งามกับสัตว์ชั้นต่ำแล้ว ยังเปรียบกับสิ่งแปลก ๆ อีกด้วยเช่น ประพฤติตนเหมือนด้วยปอมข่างไว้จริตกิริยาสูงส่ง ทำจิตใจเงื่อยโคลงประดุจขอนไม้ ที่เล็กนั้นประมาณเท่าผลสะบ้าวานร และหมู่นกอันธพาลสันดานสิ้นคิด แต่ละตัวมีลูกตาเหมือนด้วยนกฮูกนกเค้า และเหมือนด้วยนัยน์ตาหุ่นยนตร์คนเขาชักไขว่ขวัก
ความเปรียบที่ต่างจากขนบวรรณกรรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์ทั่วไปเหล่านี้ มักปรากฏในตอนที่ประชดประชันเสียดสีนางสนมที่มีกิริยาและความประพฤติไม่งาม ความเปรียบจึงเป็นเครื่องมือโดยตรงของการเสียดสีและบริภาษ ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของผู้แต่งจึงได้ให้ผู้เล่าเรื่องคัดสรรสิ่งที่จะมาเปรียบให้ไม่ซ้ำกับวรรณกรรมเรื่องอื่น ตัวอย่างเด่นที่แสดงถึงความช่างคิดและการเลือกสรรถ้อยคำมาบริภาษตอนหนึ่ง คือ ตอนที่กล่าวถึงนางนกไส้ว่าชอบกิน ดอกเต่าร้าง ยางบัวใบยาว และเกสรดอกสามหาว ทำให้นางมีนิสัย คันปากอยากพูดพล่อยอยู่เป็นนิจ หรือกล่าวเสียดสีนางนกบางตัวว่ามีความประพฤติ ทำร่างกายจริตกิริยาเหมือนด้วยนกตัวผู้และมีเหนียงแห้ง อุปมานี้ทำให้เกิดจินตภาพได้อย่างชัดเจนทีเดียว

สรุป : นวัตกรรมทางวรรณคดีใน ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
จากที่ได้วิเคราะห์มาทั้งหมด คงเห็นได้ว่า ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นวรรณกรรมที่มีลักษณะแปลกใหม่ที่น่าสนใจหลายประการเมื่อเปรียบเทียบกับวรรณกรรมเรื่องอื่น ๆ ในยุคสมัยเดียวกัน ที่เห็นชัดที่สุดคือลักษณะของตัวบทที่เรียกได้ว่าเป็น เอกสารพันทาง คือ ประกอบด้วยส่วนที่เป็นตำราให้ความรู้เกี่ยวกับชาติพันธุ์และภาษา รวมทั้งความรู้เรื่องพระราชพิธีต่าง ๆ มีส่วนที่เป็นนิยายหรือเรื่องสมมุติ ซึ่งเป็นประวัติและความสามารถของนางนพมาศ และส่วนที่เป็นการวิจารณ์นางสนม ทั้งหมดนี้มีส่วนที่เป็นนิยายทำหน้าที่ควบคุมเนื้อหาให้ร้อยรัดเป็นเรื่องเดียวกันด้วยการสร้างตัวละครและฉาก แต่การนำเสนอด้วยร้อยแก้วก็มีผลกลบเกลื่อนลักษณะนิยายไว้มิให้ปรากฏชัด เพราะตามขนบวรรณคดีสมัยนั้นนิยายจะนำเสนอด้วยร้อยกรอง ส่วนร้อยแก้วใช้กับข้อเขียนที่ถือเป็นเรื่องจริงจัง
อย่างไรก็ตาม ยังมีลักษณะล้อเลียนแทรกอยู่ในตัวบทที่แลดูจริงจัง ซึ่งมีผลทำให้ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ต่างไปจากวรรณกรรมประเภทล้อเลียนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยเดียวกัน ซึ่งมักจะมีลักษณะล้อเลียนตลอดทั้งเรื่อง และประกาศอย่างโจ่งแจ้งตั้งแต่ต้นว่าเป็นวรรณกรรมล้อเลียน  นอกจากนี้ ในตัวบทยังประกอบด้วยส่วนที่เป็นนิทาน ใช้วิธีการเล่าตามขนบของการเล่าเรื่องซ้อนเรื่อง นิทานเหล่านี้ทำหน้าที่บอกล่วงหน้าโดยนัย ถึงส่วนที่เป็นการวิจารณ์นางสนมซึ่งปรากฏในตอนท้ายของเรื่องและเป็นการแสดงเชาวน์ปัญญาของตัวละครเอกที่ยกนิทานเป็นอุทาหรณ์ในการสั่งสอนและอวดภูมิรู้
หนังสือเรื่อง ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ นี้ได้สร้างตัวละครเอกหญิงที่นับว่าโดดเด่นกว่าตัวละครหญิงอื่นใดในวรรณคดีต้นรัตนโกสินทร์ นางนพมาศเป็นตัวละครที่สมบูรณ์แบบตามอุดมคตินิยม แต่มีการดำเนินชีวิตที่สมจริงนางได้ใช้ความรู้และปัญญารวมทั้งความสามารถในการประดิษฐ์  จนได้รับการยกย่องต่อสาธารณชนและได้รับการจารึกสืบต่อมาให้เป็นประเพณีปฏิบัติของชนรุ่นหลัง นางยังเป็นนางเอกที่มีบทบาทเป็นผู้กระทำด้วยการตั้งปณิธานและผลักดันตนเองให้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จเท่าที่หญิงสามัญชนจะได้รับอย่างปราศจากอุปสรรคใด ๆ ในชีวิต 
ในส่วนของกลวิธีการเล่าเรื่องนั้น หนังสือเรื่องนี้มีวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ คือ เริ่มเล่าจากเรื่องในอดีตที่ไกลโพ้น ขอบเขตของเรื่องเล่ากว้างใหญ่ไพศาล ทำให้มีลักษณะคล้ายเอกสารโบราณ  ที่มักเริ่มต้นเล่าเรื่องตั้งแต่การกำเนิดโลก ประกอบกับมีการอ้างถึงจุลศักราชที่นิยมใช้ในเอกสารสมัยอยุธยา จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีการอำพรางทั้งยุคสมัยในท้องเรื่องและยุคสมัยที่แต่งได้อย่างแยบยล  สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของการเล่าเรื่อง ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ คือ การใช้คำสรรพนามบุรุษที่หนึ่งของตัวละครเอกหญิง การเรียกตนเองว่าข้าน้อย นั้น นับว่าแปลกและแตกต่างจากตัวละครตัวอื่น ตรงที่คำนี้แฝงน้ำเสียงของการอ่อนน้อมถ่อมตัวในขณะที่เล่าเรื่องราวคุณความดีของตนเอง เพื่อให้สตรียึดถือเป็นต้นแบบความประพฤติของกุลสตรีที่ดีพร้อม 
การใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งเล่าเรื่องของตนเองนี้ ปัจจุบันเรียกว่าการเขียนอัตชีวประวัติ และด้วยเหตุที่นางนพมาศมีฐานะเป็นตัวละครสมมุติ ทำให้หนังสือเรื่องนี้มีลักษณะการประพันธ์แบบอัตชีวประวัติสมมุติ (fictional autobiography) เรื่องแรกของไทย อัตชีวประวัติสมมุติ คือ งานประพันธ์ประเภทนิยายที่กำหนดให้ตัวละครเอกนำเอาประวัติชีวิตของตนเองมาเล่า ตัวละครนั้นจึงทำหน้าที่เป็นผู้เล่าเรื่องไปด้วย การใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของงานประพันธ์ประเภทนี้ และเป็นกลวิธีที่โน้มน้าวใจให้ผู้อ่านรู้สึกเสมือนว่าเรื่องเล่าเป็นเรื่องจริงได้โดยง่าย การประพันธ์ในรูปแบบนี้นับว่าเป็นงานเขียนในลักษณะที่ใหม่มาก เมื่อเทียบกับขนบทางวรรณกรรมในยุคสมัยเดียวกัน ในกรณี ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ กลวิธีนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวละครเอกหญิง (รวมทั้งฉากแห่งอดีตและรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ) มีความเหมือนจริงเหมือนจังน่าเชื่อถือ ทำให้นางนพมาศตรึงอยู่ในความเชื่อของ คนไทยว่ามีตัวจริงในสมัยสุโขทัยและมีผลทำให้จัดหนังสือเรื่องนี้เป็นวรรณคดีสมัยสุโขทัยในประวัติวรรณคดีไทยมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว
การใช้กรอบรูปแบบอัตชีวประวัติสมมุตินี้ แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเชิงมนุษยทัศน์ ที่มีต่อตัวบทวรรณกรรมว่าเป็นเครื่องมือในการจารึกชื่อเสียงเกียรติคุณของปัจเจกบุคคลไว้ได้ชั่วกัลปาวสาน ในตัวบท ตัวละครนางนพมาศเคยกล่าวเมื่อเล่านิทานเรื่องที่จบลงว่า แลนิทานนกกระต้อยตีวิดซึ่งข้าน้อยบรรยายนี้ ไม่ควรถือเช่นเอาเป็นอย่าง ถ้ามนุษยชาติหญิงชายจำพวกใด ประพฤติน้ำจิตเป็นพาลสันดานโลเลแล่นไปแล่นมาเช่นนางนกกระต้อยตีวิดตัวนั้นแล้ว ชี่อชั่วก็จะปรากฏเป็นนิยายอยู่สิ้นกัลปาวสาน” (๕๖)
ในทำนองเดียวกันนี้เอง อาจกล่าวได้ว่าผู้แต่งก็ได้สร้างตัวละครเอกหญิงให้เป็นแบบอย่างดีเลิศเพื่อให้ปรากฏเป็น นิยายอยู่สิ้นกัลปาวสานเช่นกัน นับว่าผู้แต่งได้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการจารึกชื่อนางเอกของนิยายเรื่องหนึ่งไว้ให้เป็นหญิงอัจฉริยะผู้คิดประดิษฐ์กระทงในความเชื่อของมหาชนตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

นางนพมาศ : นางเอกที่ถูกมองข้าม(4)

นางนพมาศ : ตัวละครที่เน้นเรื่อง การศึกษาและปัญญา
นางนพมาศเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นโดยให้ความสำคัญแก่เรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก ผู้แต่งได้ให้รายละเอียดว่า นางมิได้ถูกเลี้ยงอย่างเด็กธรรมดาทั่วไป การเล่นสมัยเด็กคือ สอนให้เล่นแต่ร้อยกรอง วาดเขียน และชวนพูดเป็นกลบทกลกลอนเจือด้วยคำสุภาษิตทุกวันคืน”(๓๔) เมื่อเจริญวัยก็เรียนหนังสือตามเกณฑ์อายุ คือ ๗ ขวบเช่นเดียวกับเด็กชนชั้นนำที่เริ่มเรียนอักขรวิธีภาษาไทยตั้งแต่อายุ ๗ ขวบจนถึง ๑๑ ขวบ ปรากฏหลักฐานว่า บุตรขุนนางที่เกิดในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวคนหนึ่ง คือ พระยาสโมสรสรรพการ ได้เขียนเล่าประวัติการศึกษาไว้ว่า เมื่อเป็นเด็กได้เข้าไปเรียนหนังสือกับป้าในพระบรมมหาราชวังเมื่ออายุ ๘ ปีเศษ โตเกินกว่าที่จะเข้าไปอาศัยในพระราชวังฝ่ายใน จึงออกมาเรียนต่อที่บ้านกับบิดา๒๐
                นางนพมาศนับว่าเป็นตัวละครหญิงที่เริ่มการศึกษาตามรูปแบบพร้อมกับบุตรหลานของชนชั้นนำในเวลานั้น แต่เนื้อหาของที่นางได้ศึกษาขณะที่มีอายุ ๗ ขวบ ไม่ใช่ ปฐม ก กาหัดอ่าน เหมือนเด็กทั่วไป นางได้ศึกษาอักษรสยามพากย์ อักษรสันสกฤต ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เป็นวิชาที่ยากเกินกว่าเด็กอายุ ๗ ขวบจะเรียนได้ แต่นางก็เรียนได้อย่างชำนิชำนาญ
                วิชาความรู้ที่นางได้ศึกษานั้น อาจแจกแจงออกเป็นวิชาที่เกี่ยวกับอักษรสยามพากย์ อักษรสันสกฤต ซึ่งจัดเป็นความรู้ขั้นพื้นฐาน วิชาขั้นที่สูงขึ้นคือ การแต่งกลบทกลกลอน เรียนพระพุทธวจนะ  หลังจากนั้นก็เรียนขั้นสูงสุด คือ คัมภีร์ไตรเพท และตำรับโหราศาสตร์ นางจึงเป็นกุลธิดาที่ได้รับความรู้อย่างดีทั้งทางศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์
                อาจกล่าวได้ว่า วิชาความรู้ที่นางนพมาศได้รับนั้นน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของความรู้ที่พระราชกุมารได้เล่าเรียนกันในเวลานั้น ดังที่ปรากฏในหลักฐานการศึกษาเล่าเรียนของ วชิรญาณภิกษุ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระองค์ได้ทรงศึกษาวิชาต่าง ๆ ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชโอรสของพระมหากษัตริย์ ทรงได้รับการศึกษาอักขรวิธีในสำนักพระพุทธโฆษาจารย์ (บุน) วัดโมฬีโลกยาราม ทรงศึกษาพระพุทธวจนะและ คดีโลกคดีธรรมในสำนักกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ตลอดจนวิชาเฉพาะทั้งมวลสำหรับพระราชกุมาร เช่น ทรงศึกษาวิชากรรมศาสตร์ อัศวศาสตร์ และยุทธพิชัยสงคราม จากสำนักเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด) เมื่อเสด็จออกผนวชใน พ.. ๒๓๖๗ ก็ได้ทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ ปรัชญา ประวัติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ๒๑ 
ในวรรณกรรมร่วมสมัยเรื่องหนึ่งคือ เพลงยาวถวายโอวาทของสุนทรภู่๒๒ ได้กล่าวถึงวิชาความรู้ที่สุนทรภู่สั่งสอนลูกศิษย์สองพระองค์ คือ เจ้าฟ้ากลางกับเจ้าฟ้าปิ๋ว ให้หมั่นเรียนรู้วิชา ดังนี้

อุตส่าห์เรียนเขียนอ่านบุราณราช          ไสยศาสตร์สงครามตามประสงค์
ลำดับศักดิ์จักรพรรดิขัตติย์วงศ์                               อุตส่าห์ทรงจดจำให้ชำนาญ
ด้วยพระองค์ทรงสยมบรมนาถ                             บังคับราชการสิ้นทุกถิ่นฐาน
กรมศักดิ์หลักชัยพระอัยการ                                  มนเทียรบาลพระบัญญัติตัดสำนวน

                เมื่อพิจารณาการศึกษาของ วชิรญาณภิกษุและเจ้าฟ้าสองพระองค์นี้ จะเห็นว่ามีวิชาเฉพาะสำหรับพระราชกุมาร คือ วิชาการสงคราม และกฏหลักอัยการ ซึ่งวิชาเหล่านี้นางนพมาศไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน แต่นางก็ได้เรียนบางวิชาที่จัดว่าเป็นของ พ่อเรือนดังที่นางได้แจกแจงไว้ตอนต้นเรื่องว่า

...หมู่มนุษย์ก็ประกอบไปด้วยสติปัญญาโดยมาก ต่างร่ำเรียนสรรพวิชาต่าง ๆ ฝ่ายทหารก็เรียนรู้ศิลปศาสตร์เพลงอาวุธ คือ วิชาช้างม้า กระบี่กระบอง โล่ดั้ง ดาบสั้น ดาบยาว กริช กั้นหยั่น โตมรศรกำซาบปืนไฟใหญ่น้อย มวยปล้ำ ตำรับพิชัยยุทธ์ เวทมนตร์ คงกระพันชำนิชำนาญเป็นอันดี บรรดาพวกพ่อเรือนก็ต่างเล่าเรียนคัมภีร์ไตรเพทไตรวิชา คือ กลบทกลกลอน ทำนุกทำเนียบอักขระ อักษร ครุลหุสูตรกรณฑ์ สูตรฉวางค์ ตำรับโหราศาสตร์ทักษาพยากรณ์ สมผุสอินทพาษบาทจันทร์สารำ อาจรู้จักรราศีดาราฤกษ์นพเคราะห์ สุริยคราสจันทรคราสโดยพิสดาร... (๑๓)

            หากเราจะเปรียบเทียบการศึกษาของนางนพมาศกับเจ้านายพระองค์หญิง ก็อาจจะพิจารณาจากที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายถึงการทรงอักขรวิธีของพระองค์เจ้าหญิงว่า หัดเขียนหนังสือแลัวเรียนอักษรศาสตร์ถึงชั้นแต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอน... ถ้าเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยชอบเรียนเลขหรือความรู้เรื่องพงศาวดารก็เริ่มเรียนในตอนนี้ เจ้านายชั้นพระธิดาทรงศึกษาประเภทนี้เป็นพื้น จึงมักเป็นพระอาจารินีฝึกสอนคนชั้นหลัง ๆ ต่อ ๆ กันมา๒๓
                เจ้านายพระองค์หญิงไม่อาจจะเรียนคัมภีร์ไตรเพทได้ เนื่องจากเป็นวิชาของพ่อเรือน อีกทั้งใช้ผู้สืบทอดตระกูลพราหมณ์ ดังนั้นด้วยเหตุที่เป็นลูกพราหมณ์ ทำให้นางนพมาศได้เรียนรู้สืบทอดตามสายตระกูลด้วย การศึกษาที่นางนพมาศได้รับนั้น จึงนับว่าแตกต่างจากเด็กหญิงทั่ว ๆ ไปไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงในราชตระกูลหรือเด็กหญิงสามัญชน๒๔
                อาจกล่าวได้ว่านางนพมาศเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นให้เป็นผู้นำในเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน ประกอบกับนางถูกจัดวางให้เป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ จึงใช้เวลาเรียนเพียง ๘ ปีก็สำเร็จ ปัญญาของนางนพมาศจัดว่าเป็นความฉลาดที่เกิดจากการศึกษาเล่าเรียน และการคิดจะนำความรู้ที่มีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ความฉลาดของนางอาจมาจากการสั่งสมกองการกุศลมาแต่อดีตชาติซึ่งอาจเรียกว่าเป็นพรสวรรค์ทำให้นางเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์ทุกประการ ทั้งวิชาการช่าง ความคิดอ่าน การแต่งกลกลอน และการมีมธุรสวาจา รวมทั้งการตั้งปณิธานที่สูงส่งแตกต่างจากผู้คนทั่วไป นางจึงมิใช่คนฉลาดประเภทรู้จักใช้ไหวพริบเพื่อเอาตัวรอด หรือการเล่น กับสำนวนภาษาเพื่อให้ตนได้ผลประโยชน์ เช่น ศรีธนญชัยแต่เป็นการใช้ปัญญาผสานกับความรู้และฝีมือการช่าง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างผลงานอันจะนำไปสู่ชื่อเสียงเกียรติยศที่ปรารถนา ดังที่นางตั้งใจประดิษฐ์โคมดอกกระมุท ทำพวงดอกไม้รูปพานขันหมากและทำพนมดอกไม้ทองและกอปทุมชาติ เพื่อให้เป็น แบบอย่างไปได้ในแผ่นดินชั่วกัลปาวสาน” (๑๕๙)
                การแสดงถึงความเป็นผู้มีปัญญาของนางนพมาศนั้น ปรากฏให้เห็นอยู่หลายตอน นางได้แสดงปัญญาในหมู่เครือญาติตอนที่พระศรีมโหสถทดสอบปัญญา นางได้ตอบคำถามและเล่านิทานเปรียบเทียบ และได้แสดงปัญญาในที่มหาสมาคมถึง ๓ ครั้ง ในการคิดค้นและประดิษฐ์งานฝีมือดอกไม้ให้เป็นที่ประจักษ์เป็นโคมดอกกระมุทและเป็นพานขันหมาก และที่สำคัญที่สุดคือการแต่งกลอนถวายสมเด็จพระร่วงเจ้า เป็นการแสดงปัญญาที่สื่อถึงความฉลาดลึกซึ้งของนาง ในบทกลอนนั้น นอกจากจะชมความงามของงานพระราชพิธีแล้ว นางยังได้แสดงเมตตาจิตต่อนางสนมกำนัลอื่น ๆ ด้วยการทูลขอโอกาสให้นางสนมเหล่านั้นได้มาชมความงามของพระราชพิธีด้วย ซึ่งทำให้นางสนมกำนัลต่างซาบซึ้งในน้ำใจของนางนพมาศ นางนพมาศจึงไม่มีผู้ปองร้ายหรืออิจฉาริษยาเพราะนางได้สกัดกั้นไว้ล่วงหน้าเช่นนั้นแล้ว อย่างไรก็ตาม การแสดงปัญญาของนางแต่ละครั้ง ได้แสดงถึงความคิดที่สอดคล้องกันว่า สตรีมีหน้าที่ปรนนิบัติต่อบุรุษผู้เป็นเจ้าของและผู้มีพระคุณซึ่งเป็นหน้าที่ที่พึงกระทำอย่างสม่ำเสมอ นางนพมาศแสดงให้ว่า การจะเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมควรแก่การสรรเสริญนั้น ต้องเป็นผู้ไม่บกพร่องด้านการบ้านการเรือน พร้อมทั้งมีจริตกิริยาเป็นที่รักใคร่แก่ผู้พบเห็น ต้องมีคุณธรรม และกุลสตรีที่ปรารถนาจะเป็นแบบอย่างต่อชนรุ่นหลังได้นั้น ยังต้องฝากฝีมือในเชิงประดิษฐ์สิ่งแปลกใหม่ให้เป็นที่ปรากฏแก่ชนทั้งหลายอีกด้วย
นางนพมาศไม่ได้แสดงปัญญาในการคิดค้นให้งามประหลาดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังได้แสดงฝีมือการช่าง คือ แกะรูปมยุราคณานกวิหคหงส์ประดับ” (๙๙) อีกด้วย เช่นเดียวกับฝีมือตกแต่งดอกไม้ให้เป็นรูปพานสองชั้น กลายเป็นพานขันหมาก และทำพนมดอกไม้ทองและกอโกสุมปทุมทอง เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงสักการะบูชาพระรัตนตรัยและเทวรูป
                ปัญญาของนางที่ได้แสดงให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน ล้วนแต่เป็นการคิดค้นที่ไม่เคยมีผู้ใดประดิษฐ์มาก่อนในทางการฝีมือ นางจึงเป็น สตรีนักปราชญ์ฉลาดในวิชาช่าง” (๑๕๐) ซึ่งก็คือ งานฝีมือการแกะสลักและจัดดอกไม้ อันเป็นวิชาที่สังคมสงวนไว้ให้เป็นวิชาของสตรีในค่านิยมของสังคมไทยเวลานั้น๒๕  นางจึงเป็นตัวละครที่ดำเนินชีวิตไปตามครรลองที่สังคมกำหนดหน้าที่ที่แยกกันระหว่างสตรีกับบุรุษอย่างค่อนข้างชัดเจน และนางก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งการแสวงหาชื่อเสียงที่ไม่ก้าวล่วงไปในหน้าที่ของบุรุษ หรือคิดแข่งเพื่อความทัดเทียมกัน เช่น การปกครองบ้านเมือง และการรบแบบนางละเวงวัณฬาในเรื่องพระอภัยมณี ตรงกันข้าม การแสดงความเชี่ยวชาญของนางนั้น เป็นการตอกย้ำความคิดที่ว่าหน้าที่ที่เหมาะสมของสตรี คือ การปรนนิบัติและรับใช้ชาติบ้านเมืองในวิชาการช่าง มิใช่การรบทัพจับศึกหรือการปกครองซึ่งเป็นหน้าที่ของบุรุษ นางจึงได้รับการยกย่องในฐานะกุลสตรีผู้เป็นแบบอย่าง ดังที่นางกล่าวว่า ก็เห็นว่าควรท่านทั้งหลายผู้ได้นามชื่อว่า พระสนมกำนัล จะพึงประพฤติตามเยี่ยงข้าน้อยนี้บ้างในอนาคตเบื้องหน้า (๑๕๐)
                ในส่วนของการแสดงปัญญาด้วยการเล่านิทานเปรียบเทียบทั้งสามเรื่องนั้น นางนพมาศได้ชี้ให้เห็นว่า ถ้าผู้เป็นสตรีละเลยต่อหน้าที่ที่พึงปฎิบัติตามที่กล่าวมา ความระส่ำระสายและความเดือดร้อนย่อมมาเยือน ดังที่ปรากฏในนิทานเรื่องนางนกกระต้อยตีวิดโลเล นางช้างแสนงอน และนางนกกระเรียนคบนางนกไส้ช่างยุ
นิทานทั้งสามเรื่องนี้ เป็นเรื่องเล่าขนาดเล็กที่ซ้อนอยู่ในเรื่องเล่าขนาดใหญ่ มีเนื้อหาสาระที่สอดคล้องไปในทำนองเดียวกันกับโครงเรื่องใหญ่ คือ เรื่องของนางนพมาศ (ซึ่งปรารถนาจะเป็นบาทบริจาริกาและได้มีโอกาสปรนนิบัติพระเจ้าแผ่นดิน) แต่ก็แสดงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับหญิงที่ขาดคุณสมบัติอย่างที่ตัวนางมี กล่าวคือโครงเรื่องของนิทานว่าด้วยความบกพร่องในการปรนนิบัติ
ผู้เป็นจ่าฝูงหรือเป็นผู้มีพระคุณ นิทานเหล่านี้นอกจากจะมีความสำคัญคือเป็นเครื่องมือแสดงปัญญาของนางนพมาศแล้ว ยังเป็นหนทางให้นางนพมาศได้กล่าวถึงความประพฤติที่นางไม่อาจว่ากล่าวได้ตรง ๆ หรือจัดการลงโทษผู้ใดได้ในชีวิตจริง นางจึงให้ตัวละครรุกขเทวดา นางช้างอากาศจรี และราชปุโรหิต เป็นผู้ว่ากล่าวสั่งสอนและจัดการลงโทษผู้ที่ละเลยฝ่าฝืนข้อวัตรปฏิบัติที่เคยประพฤติดีมาก่อน
ถ้าพิจารณานิทานทั้งสามเรื่องนี้ ในแนวทางการศึกษาโครงสร้างของพรอพพ์ (Propp)๒๖ จะเห็นว่า นิทานทั้งสามเรื่องมีโครงสร้างแบบเดียวกัน คือ () ตัวเอกทำความดี - สังคมปกติสุข () ตัวเอกละเลยข้อปฏิบัติ - สังคมแปรปรวน  () ตัวเอกได้รับการสั่งสอนและถูกลงโทษ - สังคมปกติสุขดังเดิม
นางนพมาศเล่านิทานเหล่านี้ ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงภาระหน้าที่ของสตรีที่มีต่อบุรุษ โดยชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมเช่นใดที่สตรีไม่พึงกระทำต่อบุรุษ และแสดงผลของกระทำที่ไม่ดีนั้นให้ปรากฏ ทั้งส่วนรวมและส่วนตน ส่วนรวมนั้นได้แก่ การสูญเสียที่อยู่อาศัยของกลุ่มนกกระต้อยตีวิดในเรื่องนางนกกระต้อยตีวิดโลเล และเมืองวัฒนานครถึงกับกาลวิบัติในเรื่องนางนกกระเรียนคบนางนกไส้ช่างยุ และในส่วนตนนั้นนางนกต้อยตีวิดถูกลูกน้องดุด่าว่าเป็นต้นเหตุให้เกิดความวิบัติ และการถูกลงโทษอย่างหนักทั้งนกไส้และนกกระเรียน คือถูกขับไล่ออกจากเมือง นิทานเรื่องที่นับว่ามีเนื้อหาแตกต่างไปจากเรื่องอื่นคือเรื่องนางช้างแสนงอน ที่นอกจากจะชี้ให้เห็นพฤติกรรมที่ไม่ควรกระทำของนางช้างและแสดงผลของการกระทำนั้นคือ ต้องออกจากหมู่ช้างไปและยังถูกเยาะเย้ยถากถางให้ได้รับความอับอายอีกด้วย ตัวละครที่เยาะเย้ยคือนางช้างอากาศจรี ซึ่งเป็นผู้สั่งสอนนางช้างแสนงอนทั้งสองเชือก และฉวยโอกาสซ้ำเติมให้นางช้างทั้งสองเจ็บใจยิ่งขึ้นอีก
                จะเห็นว่านิทานทำหน้าที่บอกล่วงหน้า (anticipate) โดยนัยถึงส่วนที่จะเป็นการวิจารณ์ความประพฤติของเหล่านางสนมในราชสำนักโดยตรง อันเป็นตอนจบของตัวบทใหญ่นั่นเอง นอกจากนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวละครเอก นิทานทั้งสามเรื่องยังแสดงถึงเชาวน์ปัญญาอันแยบคายของนางนพมาศซึ่งตอบคำถามของบิดา ซึ่งถามนางว่า

ดูก่อนนางนพมาศ อันสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเสวยสิริราชสมบัติบริบูรณ์ ด้วยบาทบริจาริก มีพระอัครมเหสีก็สองพระองค์ พระสนมกำนัลนางบำเรอก็มีเป็นอันมาก ล้วนแต่ทรงลักษณะรูปสิริวิลาส เป็นที่จำเริญพระหฤทัย ตัวเจ้ายังจะประพฤติในราชกิจให้ทรงพระเมตตาแก่ตัวได้หรือมิได้เป็นดังฤา (๔๖)

ส่วนในแง่ของวิธีการเล่าเรื่องในนิทานทั้งสามนั้น จะพิจารณาในตอนที่ว่าด้วยนางนพมาศในฐานะ ผู้เล่าเรื่อง ในช่วงต่อไป
                จะเห็นได้ว่า การใช้ปัญญาของนางนพมาศเป็นไปในแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของกุลสตรีโดยเฉพาะเรื่องการบ้านการเรือน ขณะเดียวกันก็มีผลทาง การเมือง ด้วย คือการไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของบุรุษ และปฏิบัติงานของตนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมในการแบ่งสรรบทบาทของชายและหญิงในยุคนั้นอย่างชัดเจน

นางนพมาศ : นางเอกที่ถูกมองข้าม(3)

นางนพมาศ : ตัวละครในอุดมคติ
                นางนพมาศเป็นตัวละครเอกหญิงที่สมบูรณ์แบบตามอุดมคตินิยม (idealistic character) ดังที่ รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ กล่าวว่า นางนพมาศเป็นตัวแบบหนึ่งของหญิงในอุดมคติของสังคม๑๙ แต่มีเรื่องราวของการดำเนินของชีวิตตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสมจริง (verisimilitude) คือเป็นที่ยอมรับได้ในโลกทัศน์ของสังคมสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ความสมบูรณ์แบบของนางไม่เกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แต่อย่างใด (หากแต่จะมีพาดพิงถึงบ้างก็น้อยมาก) ผู้แต่งให้นางเกิดในตระกูลสูงคือเป็นลูกของพราหมณ์ตำแหน่งพระศรีมโหสถ ในพระราชสำนักของสมเด็จพระร่วงเจ้า นางเป็นผู้มีรูปโฉมงดงาม มีทรัพย์สมบัติ และมีปัญญา การที่ผู้แต่งให้นางนพมาศเป็นเพียงลูกขุนนาง แทนที่จะเป็นเจ้าหญิงหรือเชื้อพระวงศ์นั้น ก็เพื่อขับเน้นคุณสมบัติความเป็นสตรีอันเพียบพร้อมที่พบได้ในสตรีสามัญ  ไม่จำเป็นต้องเกิดจากความเป็นเจ้า
                นางนพมาศเป็นลูกของพราหมณ์ชื่อ พระศรีมโหสถ ซึ่งปรากฏใน กฏมณเฑียรบาล ว่า เป็นตำแหน่งของหมอหลวง ซึ่งใช้วิชาความรู้ในการประกอบอาชีพ มิใช่ตำแหน่งของพราหมณ์ผู้ประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา  ดังนั้นอาจเป็นไปได้หรือไม่ว่า ผู้แต่งจงใจใช้ชื่อ ศรีมโหสถเช่นเดียวกับ
ตัวละคร มโหสถในเรื่องมโหสถชาดก เพื่อสื่อถึงความเป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ ใช้ปัญญาเอาชนะศัตรูและสร้างชื่อเสียง ซึ่งก็จะสอดรับกับที่นางนพมาศเป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศและสามารถสร้างชื่อเสียงได้เช่นเดียวกัน การที่ผู้แต่งให้นางนพมาศเป็นลูกของพราหมณ์ ก็เป็นการสร้างเรื่องที่เหมาะสมแก่เหตุผลหลายประการ คือ ทำให้นางได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนตามสายบรรพบุรุษ
ดังที่อ้างว่าเรียน คัมภีร์ไตรเพท ซึ่งเป็นคัมภีร์พระเวทที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม ได้แก่ ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท ผู้หญิงที่จะศึกษาสิ่งเหล่านี้ ต้องเป็นผู้ที่เกิดในตระกูลพราหมณ์เท่านั้น และการเกิดเป็นผู้สืบเชื้อสายตระกูลพราหมณ์ ยังเชื่อมโยงไปถึงการเป็นผู้เล่าเรื่องพระราชพิธีที่เกี่ยวกับลัทธิพราหมณ์ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนเล่าถึง พระราชพิธีเคณฑะ ว่า

                อันว่าการพระราชพิธีเคณฑะทิ้งข่างนี้ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมิได้เสด็จออกไปทรงทอดพระเนตร แต่กาลก่อนก็มิได้โปรดให้นางในไปทอดทัศนา ครั้นเมื่อข้าน้อยนี้เข้าไปรับราชการเป็นข้าพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชบรรหารดำรัสว่า ข้าน้อยเป็นชาติตระกูลพราหมณ์ จึ่งโปรดให้ไปทอดทัศนาการพระราชพิธีเคณฑะกับพระสนมกำนัลซึ่งเป็นเชื้อพราหมณ์ด้วยกัน 
(๑๒๘)

หรือที่อ้างไว้ใน พระราชพิธีพรุณศาสตร์ว่า อันว่าการพระราชพิธีพรุณศาสตร์นี้เมื่อข้ามีอายุ ๗ ขวบปลาย ได้ตามพระศรีมโหสถผู้เป็นบิดาไปทอดทัศนาครั้งหนึ่ง จึ่งจำไว้ได้” (๑๓๗) ย่อมหมายถึงว่า ถ้าเป็นผู้ที่เกิดในตระกูลอื่น ก็จะไม่ได้เห็นพระราชพิธีทั้งสองนี้อย่างแน่นอน การกำหนดให้นางนพมาศซึ่งมีฐานะเป็นตัวละครเอกเกิดในเชื้อสายของพราหมณ์ จึงเป็นการวางระเบียบของเรื่องไว้อย่างสอดคล้องกับความสมจริง
ในบทเพลงขับสรรเสริญนางนพมาศ ได้กล่างถึงรูปโฉมของนางว่า ชื่ออนงค์นพมาศวิลาศลักษณ์ ละไมละม่อมพร้อมพริ้งยิ่งนารี จำเริญศรีสมบูรณ์ประยูรศักดิ์ขณะเดียวกันนางก็เป็นนักปราชญ์ฉลาดด้วยบิดาสอนซึ่งในวรรณกรรมร่วมสมัยไม่ปรากฏว่ามีตัวละครเอกหญิงในเรื่องใดจะมีความรู้และความสามารถทัดเทียมกับนางนพมาศได้ ด้วยไม่เพียงแต่มีความรู้และปัญญาเท่านั้น  นางยังมีโอกาสได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วไปอีกด้วย  นอกจากนี้ นางยังเป็นผู้มีศีลาจารวัตรและใส่ใจในความปรารถนาของผู้อื่น ประกอบกับมีโวหารที่จะพูดจาให้เกิดความรักและเมตตา นางจึงไม่มีศัตรู เพราะนางได้ ซื้อใจของพวกเขาไว้ก่อนหน้าแล้วด้วยการ เอื้อเฟื้อและให้ผลประโยชน์แก่ผู้ที่อาจจะมาเป็นศัตรูในภายหลังได้ ซึ่งก็ได้แก่นางสนมนางในที่อยู่ด้วยกันในราชสำนัก นางนพมาศจึงเป็นนางเอกที่ไม่ต้องประสบความผันผวนในชีวิตเหมือนอย่างที่พบเห็นได้ในนิยายทั่วไปสมัยนั้น
                นางนพมาศเป็นตัวละครที่มีการดำเนินชีวิตราบรื่น และประสบความสำเร็จด้วยการแสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแผ่นดิน นางได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นกุลสตรีที่มีทั้งความงามและปัญญาควบคู่กันไป

นางนพมาศ : นางเอกที่ถูกมองข้าม(2)

ลักษณะของตัวบทตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์  
เมื่อพิจารณาเนื้อหาและลีลาของหนังสือเรื่องนี้ จะเห็นว่า ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ที่มีลักษณะของเนื้อหาและวิธีการนำเสนอแตกต่างกัน จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นตัวบทคนละประเภทกัน   ประเภทของตัวบทที่พบในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ แบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ ๑.ส่วนที่เป็นตำราได้แก่ ส่วนที่มีเนื้อหาลีลาเป็นการให้ข้อมูลความรู้ และมีการแจกแจงอย่างละเอียด  .ส่วนที่เป็นนิยาย ได้แก่ เนื้อหาลีลาที่มีลักษณะเป็นเรื่องเล่า (narrative) คือ มีโครงเรื่อง มีการดำเนินเรื่อง มีตัวละคร และฉาก (สถานที่, เวลา) และ ๓.ส่วนที่เป็น การวิจารณ์นางในราชสำนัก ได้แก่ เนื้อหาที่ใช้ถ้อยคำประชดประชันเสียดสีหญิงประเภทต่าง ๆ ที่เป็นนางสนม ตัวบทแต่ละส่วนของเรื่อง ล้วนมีตัวละครนางนพมาศเป็นแกนร้อยรัด ดังที่สุพจน์ แจ้งเร็วเคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เธอ (นางนพมาศ)  เป็นตัวดำเนินเรื่องนี้ เป็นศูนย์กลางของเนื้อหาทั้งหมดที่ประกอบกันขึ้นเป็นหนังสือเรื่องนี้๑๔ ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ส่วนที่เป็น นิยาย นับเป็นส่วนสำคัญที่สุด เพราะส่วนที่มีนางนพมาศเป็นตัวละครเอกและเป็นผู้เล่าเรื่องทำหน้าที่ควบคุมเนื้อหาส่วนอื่น ๆ ให้กลายเป็นองค์ประกอบของเรื่องเล่าไปด้วย เนื้อหาส่วนต่าง ๆ ที่ปรากฏ อาจแจกแจงเป็นแผนผังได้ ดังนี้  

ส่วนที่เป็นตำรา

. ตั้งแต่ ว่าด้วยชาติและภาษาต่าง ๆถึงว่าด้วยพระราชจรรยาของพระร่วงเจ้า
(เป็นส่วนแสดงความรู้และทัศนะของนางนพมาศ)
. ตั้งแต่ ว่าด้วยพิธีจองเปรียง ถึงว่าด้วยความประพฤติแห่งนางสนม
ส่วนที่เป็นนิยาย

. ตั้งแต่ ประวัตินางนพมาศก่อนเป็นพระสนม ถึง นางเรวดีนำนางนพมาศเข้าถวายตัว  (แสดงประวัติของนางนพมาศ)

. นิทานเรื่องนางนกกระต้อยตีวิดโลเล” “นางช้างแสนงอนและ นางกระเรียนคบนางนกไส้ช่างยุ” (แทรกอยู่ในประวัติของนางนพมาศ)
ส่วนที่เป็นการวิจารณ์นางในราชสำนัก
. ว่าด้วยประพฤติแห่งนางสนม
(แสดงทัศนะของนางนพมาศ)


(ลำดับ  .....  แสดงลำดับที่ปรากฏในตัวบท)

จากการศึกษาประวัติวรรณคดีไทย อาจกล่าวได้ว่าในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (.. ๒๓๒๕ - ๒๓๙๔) นิยมแต่งหนังสือที่เป็นเรื่องสมมุติ (fiction) ด้วยคำประพันธ์ร้อยกรอง และใช้คำประพันธ์ร้อยแก้วในการแต่งเรื่องที่มีเนื้อหาจัดได้ ๓ กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มแรกเป็นเรื่องที่รวบรวมและชำระจากเอกสารที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ กฏหมายและพระราชกำหนดบทอัยการต่าง ๆ พระราชพงศาวดารและเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา เช่น ไตรภูมิโลกวินิจฉัยรัตนพิมพวงศ์ มหาวงศ์ และไตรเพท  กลุ่มที่สอง เป็นเรื่องที่แปลจากวรรณกรรมต่างประเทศ ได้แก่ สามก๊ก ไซ่ฮั่น ราชาธิราช และ นิทานอิหร่านราชธรรม  และกลุ่มที่ ๓ ได้แก่ ตำรา เช่น ตำรายา และบันทึก เช่น จดหมายเหตุ พระราโชวาท พระราชกระแสรับสั่ง พระราชปุจฉา และพระราชปรารภต่าง ๆ  การใช้รูปแบบการประพันธ์ด้วยภาษาร้อยกรองจึงอิงอยู่กับเนื้อหาที่ถือว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องที่เชื่อว่าเป็นจริง
                ถ้าไม่คำนึงถึงหนังสือที่แปลจากวรรณกรรมต่างประเทศ อาจกล่าวได้ว่าเรื่องที่เป็นนิยายจะมีขนบของการแต่งดังนี้ คือ แต่งด้วยภาษาร้อยกรอง มีองค์ประกอบของเรื่องเล่า ได้แก่ เนื้อเรื่อง โครงเรื่อง มีความผันผวนของเหตุการณ์ ฉาก และตัวละคร  นอกจากนี้ยังแสดงจุดหมายในการแต่งว่าเพื่อความเพลิดเพลิน ดังเช่นในตอนท้ายของบทละครเรื่อง รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑

                                อันพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์           ทรงเพียรตามเรื่องนิยายไสย
ใช่จะเป็นแก่นสารสิ่งใด                                    ตั้งพระทัยสมโภชบูชา
ใครฟังอย่าได้ใหลหลง                                       จงปลงอนิจจังสังขาร์

หนังสือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ มีตัวละคร และฉาก ซึ่งถูกนำเสนอให้เชื่อกันว่ามีจริง แต่ก็มีโครงเรื่องเช่นเดียวกับนิยาย แม้ว่าเป็นโครงเรื่องที่ราบเรียบ๑๕ ไม่มีเหตุการณ์ทำให้ตัวละครผันผวน และในส่วนของเนื้อเรื่องยังประกอบด้วย พระราชพิธีและขนบธรรมเนียมว่าด้วยความประพฤติของนางสนมในราชสำนัก ทำให้ไม่อาจระบุจุดหมายของผู้แต่งให้ชัดเจนได้ อีกทั้งการแต่งด้วยคำประพันธ์ร้อยแก้วและการใช้คำว่า ตำรับในชื่อเรื่อง ทำให้เข้าใจได้ว่าหนังสือเรื่องนี้คล้ายตำรา แต่ก็ไม่ใช่การเรียบเรียงแบบคัมภีร์ทางศาสนาเช่น  ไตรภูมิกถา หรือแบบเรื่องเล่าสืบต่อกันมา และเชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริง เช่น ตำนานและพงศาวดาร  จึงอาจกล่าวได้ว่า หนังสือเรื่องนี้มีลักษณะเป็น เอกสารพันทาง คือ มีส่วนที่เป็นความรู้ ตัวละครมีตำแหน่งเป็นนางพระสนม (ตำแหน่งจริงในประวัติศาสตร์)  และใช้ฉากที่นำเสนอว่าเป็นเช่นนั้นจริงในสมัยสุโขทัย จึงทำให้มีผู้เชื่อว่า นางนพมาศเป็นนางพระสนมที่มีตัวตนจริง๑๖
                อันที่จริง สาเหตุที่ทำให้มีผู้เชื่อว่านางนพมาศมีตัวตนจริงนั้นมีหลายประการ  ประการหนึ่งได้แก่ การกล่าวถึงตัวละครที่มีตำแหน่งเป็นพระสนมเอก ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีมาตั้งแต่ในสมัยสุโขทัย ดังที่ปรากฏในจารึกวัดอโศการาม พ.. ๑๙๔๒ ว่า แลดิถีนาที อันโยคยโยคี สมเด็จพระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์ อัครราช(มเหสี)เทพธร(ณีโล)กรัตน....มาทปรวราก็เป็นชายาแด่สมเด็จมหาธรรมราชาธิราชในจารึกด้านที่ ๒ มีคำจารึกเป็นภาษาบาลี ความตอนหนึ่งกล่าวถึงพระมเหสี คือ สมเด็จพระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์ แปลได้ว่า พระมเหสีของพระธรรมราชาพระองค์นั้น....พระราชาเหล่านั้น...มีความงามน่ารัก ทรงประดับเครื่องประดับคือศีลพระนางทรงยินดีในการรักษาศีล ๕ มีปัญญามาก เป็นยอดนารี (อันใหญ่ยิ่ง) มีพระยศใหญ่ยิ่งทรงเลื่อมใสในพระรัตนตรัย๑๗  ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีปรากฏใน กฏมณเฑียรบาล ว่า ตำแหน่งศรีจุฬาลักษณ์ เป็นตำแหน่งหนึ่งในสี่ของพระสนมเอก ได้แก่ อินทรเทวี อินทรสุเรนทร ศรีสุดาจันทร์ และศรีจุฬาลักษณ์

ในเรื่องนี้ยังได้กล่าวถึงสมเด็จพระร่วงเจ้า แห่งอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งเป็นบุคคลที่มีลักษณะกึ่งจริง คือ เป็นวีรบุรุษที่มีตัวตนจริงในความเชื่อของชาวบ้าน และเป็นผู้นำทางวัฒนธรรม” (culture hero) ในท้องถิ่นบริเวณสุโขทัย๑๘ ภาพลักษณ์ของสมเด็จพระร่วงเจ้าที่ปรากฏในเรื่องนี้น่าจะสอดคล้องกับความเชื่อของคนในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือแม้แต่ในปัจจุบันก็ยังคงมีความเชื่อเช่นนั้นอยู่
                นอกจากนี้ ยังมีการพรรณนาสภาพความเป็นอยู่ที่อุดมสมบูรณ์ของชาวเมืองสุโขทัย ซึ่งเป็นการสร้างฉากที่สอดรับกับความเชื่อที่คนในสมัยรัตนโกสินทร์มีต่ออาณาจักรสุโขทัยว่าเป็นอาณาจักรที่มีความอุดมสมบูรณ์  จึงกล่าวได้ว่า ทั้งตัวละครและฉากที่ปรากฏในเรื่อง ล้วนสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่หนังสือเรื่องนี้เป็นอย่างดี และสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เรื่องนี้แต่งด้วยภาษาร้อยแก้ว  ซึ่งในเวลานั้นมีขนบของการใช้ร้อยแก้วในการนำเสนอเรื่องที่เป็นจริงหรือมีลักษณะเป็นความรู้   การที่หนังสือเรื่องนี้แต่งด้วยร้อยแก้วจึงสื่อนัยยะถึงความเป็นเรื่องจริงไปด้วย แต่การที่นางนพมาศจะมีต้นแบบซึ่งมีตัวตนจริงในสมัยรัชกาลที่ ๓ หรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญในการศึกษาครั้งนี้ เพราะในเรื่อง นางนพมาศถูกนำเสนอว่าเป็นคนในสมัยสุโขทัย ดังนั้นนางจึงมีฐานะเป็นเพียงตัวละครในเรื่อง ซึ่งแต่งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเท่านั้น

นางนพมาศ : นางเอกที่ถูกมองข้าม(1)

นางนพมาศ หรือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ นับว่าเป็นวรรณกรรมที่มีอิทธิพลต่อสังคมและวัฒนธรรมไทยในปัจจุบัน เพราะมีส่วนกำหนดประเพณีลอยกระทงขึ้นจากการที่เชื่อกันว่านางนพมาศได้ประดิษฐ์กระทงรูปดอกบัวลอยบูชาพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทาในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง  และยังมีการประกวดนางนพมาศเป็นส่วนหนึ่งในประเพณีนี้อีกด้วย
เท่าที่ผ่านมานักวิชาการส่วนใหญ่ให้ความสนใจ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ในแง่ของประวัติวรรณคดีเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องยุคสมัยที่แต่ง ผู้แต่ง และจุดมุ่งหมายของการแต่ง จนมาถึงการศึกษาวิเคราะห์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ซึ่งอาจถือว่าเป็นนักวิชาการท่านแรกที่ให้ความสำคัญแก่ตัวบทโดยชี้ให้เห็นถึงลักษณะของความเป็น นิยายในวรรณกรรมเรื่องนี้ แต่ความสนใจของนิธิ ก็มุ่งไปที่เนื้อหาของบทพรรณนาว่าด้วย โลกภูมิ ชาติพันธุ์ และภาษา อันเป็นตอนต้นของเรื่อง และอยู่ในส่วนของตัวบทที่เข้าข่ายเป็น ตำรา มิใช่ส่วนที่เป็น นิยายโดยตรง
บทความนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะวิเคราะห์ตัวบทส่วนที่ถือได้ว่าเป็นนิยายแท้ ๆ ใน ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ อย่างละเอียด เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของนางนพมาศในฐานะตัวละครและผู้เล่าเรื่อง โดยจะใช้วิธีการวิเคราะห์ในแนวที่เรียกว่า ศาสตร์ว่าด้วยเรื่องเล่า” (narratology) อันจะนำไปสู่ข้อพิจารณาถึงความแปลกใหม่ของหนังสือเล่มนี้ในยุคต้นรัตนโกสินทร์
สถานะแห่งความรู้เกี่ยวกับ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นหนังสือที่มีปัญหาอย่างน้อยสามประการ ปัญหาประการแรกเกี่ยวกับสมัยที่แต่ง ด้วยเนื้อเรื่องที่ดำเนินในสมัยสุโขทัย อ้างถึง สมเด็จพระร่วงเจ้าทำให้แต่เดิมเชื่อกันว่า เป็นหนังสือที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย กรมศิลปากรจึงได้พิมพ์รวมไว้ในหนังสือ วรรณกรรมสุโขทัย เช่นเดียวกับ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ไตรภูมิกถา และสุภาษิตพระร่วง
อย่างไรก็ตาม สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงวินิจฉัยไว้ในการพิมพ์ครั้งแรก (.. ๒๔๕๗) แล้วว่าเป็นหนังสือที่แต่งในครั้งกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง แต่งในระหว่างรัชกาลที่ ๒ กับที่ ๓ ไม่ก่อนนั้นขึ้นไป ต่อมาในบทความเรื่องโลกของนางนพมาศ นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการสาขาประวัติศาสตร์ได้ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลที่ปรากฏในเรื่อง โดยเปรียบเทียบกับเอกสารประวัติศาสตร์  และพิจารณาสำนวนภาษาแล้วสรุปว่า เห็นได้ชัดว่าเขียนขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ น่าจะเขียนขึ้นระหว่าง พ.. ๒๓๖๐ ถึงสิ้นรัชกาลที่ ๓ โดยประมาณ มีผู้สนับสนุนความคิดของนิธิ เอียวศรีวงศ์ หลายท่าน ได้แก่ สุจิตต์ วงษ์เทศ และสุพจน์ แจ้งเร็ว
ปัญหาประการที่สองเกี่ยวเนื่องกับผู้แต่งและจุดประสงค์ของการแต่ง ซึ่งยังไม่เป็นข้อยุติ แต่ก็เป็นที่ยอมรับในหมู่นักวิชาการวงวรรณกรรมแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีส่วนพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ด้วย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นตอนนางนพมาศเจรจากับบิดามารดาเมื่อก่อนจะเข้าไปรับราชการและศักดิ์ศรี แย้มนัดดาเคยกล่าวว่า ตอนที่ว่าด้วยขนบธรรมเนียมนางสนมก็น่าจะเป็นพระราชนิพนธ์ด้วยเช่นกัน (สัมภาษณ์) อย่างไรก็ตามหนังสือเรื่องนี้ยังมีตอนที่ว่าด้วยชาติพันธุ์ภาษาต่าง ๆ ประวัตินางนพมาศ และพระราชพิธีสิบสองเดือน โดยเฉพาะพิธีของพราหมณ์ซึ่งเป็นพิธีเก่า ส่วนเหล่านี้ไม่อาจระบุผู้แต่งได้ หนังสือเรื่องนี้จึงน่าจะมีผู้แต่งมากกว่าหนึ่งคน และอาจจะต่างสมัยกันก็เป็นได้
ดูเหมือนว่าผู้แต่งจะมีจุดประสงค์ที่จะรวบรวมพระราชพิธีต่าง ๆ เข้า ด้วยกัน โดยเฉพาะพิธีของพราหมณ์ ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า หนังสือเรื่องนี้ของเดิมเขาจะมีจริง  เพราะลักษณะพิธีของพราหมณ์ที่กล่าวไว้ในหนังสือเรื่องนี้  โดยมากเป็นตำราพิธีจริงและเป็นพิธีอย่างเก่า  อาจจะใช้เป็นแบบแผนก่อนครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา  ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ใดจะมาคิดปลอมขึ้นใหม่ได้ทั้งหมด  ส่วนสุพจน์ แจ้งเร็วได้เสนอว่า หนังสือนี้น่าจะแต่งขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายที่จะให้คำสั่งสอนทางความคิด ความเชื่อ ความประพฤติแก่เหล่านางสนมในราชสำนักเป็นสำคัญ กล่าวได้ว่าจุดประสงค์ในการแต่งเรื่องนี้จึงยังไม่อาจหาข้อสรุปที่ชัดเจน
ปัญหาประการสุดท้าย การจัดประเภทของเอกสาร ซึ่งยังคงประสบปัญหาว่าจะจัดเป็นวรรณกรรมในความหมายของเรื่องสมมุติ (fiction) ได้หรือไม่  ในประวัติวรรณคดีไทยได้จัดให้หนังสือเรื่องนี้ มีความสำคัญเป็นตำรา ว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีและศิลปะการช่างสตรี อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้หนังสือเรื่องนี้เป็นหลักฐานในการทรงพระราชนิพนธ์ พระราชพิธีสิบสองเดือน๑๐  พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า  หนังสือเรื่องนี้เดิมเป็นตำราการพระราชพิธีประจำเดือนทั้ง ๙ นอกพรรษา๑๑ และรื่นฤทัย สัจจพันธุ์ได้จัดไว้ในหมวดวรรณกรรมคำสอน๑๒ หนังสือเรื่องนี้จึงถูกจัดเป็น ตำราเกี่ยวกับคำสอน  ขนบธรรมเนียมและพระราชพิธีมาโดยตลอด              
นิธิ เอียวศรีวงศ์ได้พิจารณาหนังสือเรื่องนี้ในด้านวรรณกรรม และตั้งข้อสังเกตได้ว่าภาษาในหนังสือเรื่องนี้เป็นความเรียงหรือร้อยแก้วที่แตกต่างจากเรื่องอื่น คือ ไม่ใช่เรื่องที่ผูกพันอยู่กับศาสนาและราชการอีกทั้งไม่ใช่เรื่องของ ต่างด้าวแต่เป็นวรรณกรรมที่มี นิยายอยู่ และได้กล่าวเป็นเชิงสรุปว่าถ้าถือว่าเรื่องนางนพมาศเป็นวรรณกรรมเชิงนิยายก็จะเป็นเรื่องแรกที่ใช้ภาษาความเรียงเขียนโดยไม่ได้แปลมาจากภาษาอื่น๑๓ อาจกล่าวได้ว่าหนังสือเรื่องนี้มีปัญหาด้านการจัดประเภท เพราะมีบางส่วนจัดอยู่ในข่ายของตำราแต่มีบางส่วนจัดว่าเป็นนิยายในความหมายที่เป็นเรื่องสมมุติ ตัวบทหนังสือเล่มนี้จึงมีลักษณะพิเศษที่ไม่เคยปรากฏในหนังสือเล่มใดมาก่อน จึงสมควรที่จะพิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียดในลำดับต่อไป